จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

การทำสบู่

วิธีทำสบู่มาบอก เผื่อคัยจะเอาไปทำงานหรือเอาไปลองทำดูก้อได้นะคับบบ
เป็นที่ทราบกันดีว่าสบู่ช่วยรักษาความสะอาดให้ร่างกาย และสิ่ง อื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี ความสะอาดช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค การทำสบู่ใช้เองภายในบ้านสามารถทำได้โดยอาศัยส่วนประกอบที่สำคัญคือ ไขมันและน้ำด่าง
วิธีการทำสบู่ มีอยู่ 2 วิธีคือ
วิธีที่ 1 ใช้น้ำด่างสำเร็จรูปในท้องตลาด หากสามารถหาซื้อน้ำด่าง สำเร็จรูปได้ง่ายในท้องตลาด
วิธีที่ 2 ใช้น้ำด่างจากการชะล้างขี้เถ้า วิธีนี้ได้แบบอย่างมาจากผู้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกาเหนือรุ่นแรก ๆ
ส่วนผสมของสบู่
1. ไขมันและน้ำมัน อาจเป็นไขมันสัตว์หรือน้ำมันพืชก็ได้ แต่น้ำมันจากแร่ธาตุใช้ไม่ได้ ไขมันสัตว์ เช่น ไขวัว กระบือ น้ำมันหมู ฯลฯ ไขมัน พืช เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก ข้าวโพด เมล็ดฝ้าย ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และน้ำมันละหุ่ง ฯลฯ
2. น้ำด่าง น้ำด่างสำเร็จรูปที่ขายในท้องตลาดเรียกว่า โซดาไฟ หรือผลึกโซดา หรือผลึกโซเดียมไฮดรอกไซด์ ราคาถูกมีขายทั่วไป หรือน้ำ ด่างที่ได้จากการชะล้างขี้เถ้าเรียกว่า โพแทช
3. บอแร็กซ์ สารบอแร็กซ์นี้ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ แต่สารนี้ช่วยให้ สบู่มีสีสันสวยงามและทำให้เกิดฟองมาก มีจำหน่ายตามร้านขายยา หรือร้านขายของชำ มีชื่อเรียกว่า ผงกรอบ หรือผงนิ่ม ส่วนใหญ่บรรจุในถุง พลาสติก
4. น้ำหอม น้ำหอมก็ไม่จำเป็นต้องใช้เช่นกัน แต่ถ้าใช้จะทำให้สบู่ มีกลิ่นดีขึ้น ถ้าไขมันที่ใช้ทำสบู่นั้นเหม็นอับ ใช้น้ำมะนาวหรือน้ำมะกรูดผสม จะช่วยให้กลิ่นหอมยิ่งขึ้นและไม่เน่า
5. น้ำ น้ำที่ใช้ทำสบู่ได้ดีต้องเป็นน้ำอ่อน ถ้าเป็นน้ำกระด้างจะทำ ให้สบู่ไม่เกิดฟอง จึงขจัดความสกปรกไม่ได้ ควรทำให้น้ำนั้นหายกระด้าง เสียก่อน โดยเติมด่างประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ (15 มิลลิลิตร) ต่อน้ำกระด้าง 1 แกลลอน (3.8 ลิตร) คนให้เข้ากัน ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 3-4 วัน จึงเท เอาส่วนบนออกมา ส่วนน้ำและตะกอนที่ก้นภาชนะเททิ้งไปได้ น้ำที่เหมาะ ในการทำสบู่มากที่สุดคือน้ำฝน
การทำสบู่จากน้ำด่างสำเร็จรูปในท้องตลาด
อุปกรณ์
- ถ้วย ถังหรือหม้อที่ทำด้วยเหล็กหรือหม้อดินก็ได้ แต่ อย่าใช้หม้ออะลูมิเนียม เพราะด่างจะกัด
- ถ้วยตวงที่ทำด้วยแก้วหรือกระเบื้องเคลือบ
- ช้อนกระเบื้องเคลือบหรือช้อนไม้ และใบพายหรือกิ่งไม้ ขนาดเล็กสำหรับคน
- แบบพิมพ์สบู่อาจจะทำด้วยแผ่นไม้หรือกระดาษแข็งก็ ได้ ขนาดของแบบพิมพ์จะใช้กว้างหรือยาวตามต้อง การ แต่ส่วนลึกควรจะเป็น 2-3 นิ้ว ดีที่สุด
- ผ้าฝ้ายหรือกระดาษมันสำหรับรองรับสบู่ในแบบพิมพ์ โดยตัดผ้าหรือกระดาษออกเป็น 2 ชิ้น ชิ้นหนึ่งกว้าง กว่าเล็กน้อย อีกชิ้นหนึ่งยาวกว่าแบบเล็กน้อย ใช้ สำหรับช่วยยกสบู่ออกจากแบบพิมพ์ง่ายขึ้น
อัตราส่วนของส่วนผสมที่ใช้ในการทำสบู่ได้ประมาณ 4 กิโลกรัม
น้ำมันหรือไขแข็งสะอาด
3 ลิตร หรือ 2.75 กก.
บอแร็กซ์
57 มิลลิลิตร (1/4 ถ้วย)
ผลึกโซดาหรือน้ำด่าง
370 กรัม
น้ำ
1.2 ลิตร
น้ำหอม (เลือกกลิ่นตามต้องการ)
1-4 ช้อนชา
ขั้นตอนในการทำสบู่
1. เตรียมไขมัน ถ้าไขมันไม่สะอาด ควรทำให้สะอาดเสียก่อน โดยเอาไปต้มกับน้ำในปริมาณที่เท่ากันในกาต้มน้ำ เมื่อเดือดแล้วเทส่วน ผสมผ่านผ้าบาง ๆ หรือตะแกรงสำหรับกรองลงในภาชนะที่เตรียมไว้ แล้วเติมน้ำเย็นลงไป 1 ส่วนต่อส่วนผสม 4 ส่วน ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นโดยไม่ ต้องคน ถ้าจะให้สะอาดยิ่งขึ้นควรใส่มันเทศที่หั่นเป็นแว่นลงไปก่อน ที่จะต้มส่วนผสม
2. เตรียมน้ำด่างผสม ทำได้โดย ตวงน้ำตามปริมาณที่ต้องการ แล้วค่อย ๆ เติมด่าง (ผลึก โซดา) ที่จะใช้ลงไปในน้ำ ไม่ควรเติมน้ำลงไปในด่าง เพราะจะเกิดความร้อน และกระเด็นทำให้เปรอะเปื้อนได้ แล้วปล่อยให้น้ำด่างผสมนี้เย็นลงจนปกติ
3. ค่อย ๆ เติมน้ำด่างผสมนี้ลงไปในไขมันที่ละลายแล้วในข้อ 1 ขณะที่เติมนี้ต้องคนส่วนผสมทั้งหมดนี้อย่างช้า ๆ และสม่ำเสมอในทิศทาง เดียวกัน จนกว่าส่วนผสมจะข้นตามปกติ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ช่วงนี้ เติมน้ำหอมที่เตรียมไว้ลงไปได้ หลังจากนั้นปล่อยไว้ 15-20 นาที จึงค่อย คนหนึ่งครั้ง ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง เมื่อส่วนผสมเหนียวดีแล้วจึงเทลงในแบบ พิมพ์ ซึ่งมีผ้าหรือกระดาษมันรองอยู่
4. หาฝาครอบแบบพิมพ์ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 2 วัน ไม่ควรมีการ เคลื่อนย้ายหรือถูกกระทบกระเทือน สบู่จะยึดกันแน่นสามารถเอาออกจาก แบบพิมพ์ได้
5. เมื่อสบู่แข็งตัวดีแล้ว นำออกจากแบบพิมพ์ แล้วใช้เส้นลวดหรือ เส้นเชือกตัดสบู่ออกเป็นชิ้น ๆ ตามขนาดที่ต้องการ แล้วนำไปวางเรียงไว้ให้ อยู่ในลักษณะที่ลมพัดผ่านได้ทั่วถึงในบริเวณที่อุ่นและแห้ง ปล่อยไว้ 2-4 สัปดาห์ ก็นำไปใช้ได้
การทดสอบว่าสบู่จะดีหรือไม่
- สบู่ที่ดีควรจะแข็ง สีขาว สะอาด กลิ่นดีและไม่มีรส สามารถขูด เนื้อสบู่ออกเป็นแผ่นโค้ง ๆ ได้
- ไม่มันหรือลื่นจนเกินไป เมื่อใช้ลิ้นแตะดูไม่หยาบหรือสาก
การปรับปรุงสบู่ให้ดีขึ้น
ถ้าสบู่ที่ผ่านขั้นตอนตามเวลาที่ทำทุกช่วงแล้ว แต่ยังมีส่วนผสมบาง ส่วนไม่แข็งตัวหรือแยกกันอยู่ หรือไม่ดีเพราะสาเหตุใดก็ตาม อาจแก้ไขให้ดี ขึ้นดังนี้
- ตัดสบู่ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในหม้อที่มีน้ำบรรจุอยู่ 2.8 ลิตร พร้อมทั้งเทส่วนที่เป็นของเหลวที่เหลืออยู่ในแบบพิมพ์ลงไปด้วย
- นำไปต้มนานประมาณ10 นาที อาจเติมน้ำมะนาวหรือน้ำมัน อื่น ๆ ที่มีกลิ่นหอมลงไปในส่วนผสมประมาณ 2 ช้อนชา (ถ้ายังไม่ได้เติม)ต่อจากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในแบบพิมพ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ปล่อยไว้ 2 อัน แล้วดำเนินการตามที่กล่าวมาแล้ว
การทำสบู่จากน้ำด่างที่ได้จากขี้เถ้า
เริ่มต้นด้วยการทำน้ำด่างขึ้นเองจากขี้เถ้า
อุปกรณ์
1. เครื่องมือสำหรับการชะล้างน้ำด่าง ประกอบด้วยก้อนหิน ขนาดย่อม ๆ หลายก้อน
- แผ่นหินราบมีร่องน้ำให้ไหลได้
- ถังไม้ขนาดจุ 19 ลิตร มีรูเล็ก ๆ หลายรูติดอยู่ก้นถัง
- ภาชนะรองน้ำด่าง ไม่ควรใช้ภาชนะที่ทำด้วยอะลูมิเนียม เพราะน้ำด่างจะกัด
- กิ่งไม้เล็ก ๆ และฟาง
- ขี้เถ้า 19 ลิตร ซึ่งได้จากการเผาไหม้ทุกชนิด ขี้เถ้าจาก ไม้เนื้อแข็งจะใช้ทำน้ำด่างได้ดีที่สุด สำหรับชนบทแถบ ชายทะเล ขี้เถ้าจากการเผาสาหร่ายทะเลใช้ได้ดีมาก เพราะมีธาตุโซเดียมทำให้สบู่แข็งตัวได้ดี
- น้ำอ่อนปริมาณ 7.6 ลิตร
2. วิธีการชะล้างขี้เถ้าทำน้ำด่าง
- ตั้งอุปกรณ์ดังแสดงในรูป โดยที่ก้นของถังทำเป็นที่กรอง ขี้เถ้า ใช้กิ่งไม้ไข้วกัน 2 กิ่ง เรียงเป็นแถว แล้วเอาฟางวางลงบนกิ่ง
- ใส่ขี้เถ้าลงในถัง แล้วเทน้ำอุ่นลงในถังเพื่อให้ขี้เถ้าเปียก และเหนียว เกลี่ยให้เกิดหลุมตรงกลาง แล้วค่อย ๆ เทน้ำส่วนที่เหลือลงใน หลุมนั้น ปล่อยให้น้ำซึมแล้วเติมน้ำอีก น้ำด่างสีน้ำตาลจะไหลลงสู่ส่วนล่าง ของถัง นานประมาณ 1 ชม. น้ำด่างที่ได้จะมีปริมาณ 1.8 ลิตร ถ้าน้ำด่างที่ มีความเข้มข้นดีแล้ว ทดสอบได้โดยเอาไข่ไก่หรือมันฝรั่งใส่ลงไป ไข่หรือมัน จะลอยได้ หรือถ้าจุ่มขนไก่ลงไป น้ำด่างจะเกาะติดแต่ไม่กัดขนไก่ให้หลุด ถ้าน้ำด่างอ่อนไป ควรเทกลับคืนถังอีกครั้ง หรือเคี่ยวให้ข้นด้วยการต้ม
- ส่วนการทำสบู่ในขั้นต่อไปนั้นดำเนินการเช่นเดียวกันกับ วิธีแรก
ข้อควรระวังในการใช้น้ำด่าง
น้ำด่างนี้เป็นพิษเพราะกัดผิวหนังและทำให้เกิดแผลร้ายแรงได้ ฉะนั้น ไม่ควรให้ถูกผิวหนัง ถ้าถูกต้องรีบล้างทันทีด้วยน้ำเปล่า แล้วล้างด้วย น้ำส้มอีกครั้งหนึ่ง
ถ้ากลืนน้ำด่างลงไป ให้รีบดื่มน้ำส้ม น้ำมะนาวหรือมะกรูดตามลงไป ให้มาก ๆ แล้วรีบไปพบแพทย์ ดังนั้นควรเก็บน้ำด่างให้พ้นมือเด็ก

หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจนะคับ
การทดสอบว่าสบู่จะดีหรือไม่
- สบู่ที่ดีควรจะแข็ง สีขาว สะอาด กลิ่นดีและไม่มีรส สามารถขูด เนื้อสบู่ออกเป็นแผ่นโค้ง ๆ ได้
- ไม่มันหรือลื่นจนเกินไป เมื่อใช้ลิ้นแตะดูไม่หยาบหรือสาก
การปรับปรุงสบู่ให้ดีขึ้น
ถ้าสบู่ที่ผ่านขั้นตอนตามเวลาที่ทำทุกช่วงแล้ว แต่ยังมีส่วนผสมบาง ส่วนไม่แข็งตัวหรือแยกกันอยู่ หรือไม่ดีเพราะสาเหตุใดก็ตาม อาจแก้ไขให้ดี ขึ้นดังนี้
- ตัดสบู่ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในหม้อที่มีน้ำบรรจุอยู่ 2.8 ลิตร พร้อมทั้งเทส่วนที่เป็นของเหลวที่เหลืออยู่ในแบบพิมพ์ลงไปด้วย
- นำไปต้มนานประมาณ10 นาที อาจเติมน้ำมะนาวหรือน้ำมัน อื่น ๆ ที่มีกลิ่นหอมลงไปในส่วนผสมประมาณ 2 ช้อนชา (ถ้ายังไม่ได้เติม)ต่อจากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในแบบพิมพ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ปล่อยไว้ 2 อัน แล้วดำเนินการตามที่กล่าวมาแล้ว
การทำสบู่จากน้ำด่างที่ได้จากขี้เถ้า
เริ่มต้นด้วยการทำน้ำด่างขึ้นเองจากขี้เถ้า
อุปกรณ์
1. เครื่องมือสำหรับการชะล้างน้ำด่าง ประกอบด้วยก้อนหิน ขนาดย่อม ๆ หลายก้อน
- แผ่นหินราบมีร่องน้ำให้ไหลได้
- ถังไม้ขนาดจุ 19 ลิตร มีรูเล็ก ๆ หลายรูติดอยู่ก้นถัง
- ภาชนะรองน้ำด่าง ไม่ควรใช้ภาชนะที่ทำด้วยอะลูมิเนียม เพราะน้ำด่างจะกัด
- กิ่งไม้เล็ก ๆ และฟาง
- ขี้เถ้า 19 ลิตร ซึ่งได้จากการเผาไหม้ทุกชนิด ขี้เถ้าจาก ไม้เนื้อแข็งจะใช้ทำน้ำด่างได้ดีที่สุด สำหรับชนบทแถบ ชายทะเล ขี้เถ้าจากการเผาสาหร่ายทะเลใช้ได้ดีมาก เพราะมีธาตุโซเดียมทำให้สบู่แข็งตัวได้ดี
- น้ำอ่อนปริมาณ 7.6 ลิตร
2. วิธีการชะล้างขี้เถ้าทำน้ำด่าง
- ตั้งอุปกรณ์ดังแสดงในรูป โดยที่ก้นของถังทำเป็นที่กรอง ขี้เถ้า ใช้กิ่งไม้ไข้วกัน 2 กิ่ง เรียงเป็นแถว แล้วเอาฟางวางลงบนกิ่ง
- ใส่ขี้เถ้าลงในถัง แล้วเทน้ำอุ่นลงในถังเพื่อให้ขี้เถ้าเปียก และเหนียว เกลี่ยให้เกิดหลุมตรงกลาง แล้วค่อย ๆ เทน้ำส่วนที่เหลือลงใน หลุมนั้น ปล่อยให้น้ำซึมแล้วเติมน้ำอีก น้ำด่างสีน้ำตาลจะไหลลงสู่ส่วนล่าง ของถัง นานประมาณ 1 ชม. น้ำด่างที่ได้จะมีปริมาณ 1.8 ลิตร ถ้าน้ำด่างที่ มีความเข้มข้นดีแล้ว ทดสอบได้โดยเอาไข่ไก่หรือมันฝรั่งใส่ลงไป ไข่หรือมัน จะลอยได้ หรือถ้าจุ่มขนไก่ลงไป น้ำด่างจะเกาะติดแต่ไม่กัดขนไก่ให้หลุด ถ้าน้ำด่างอ่อนไป ควรเทกลับคืนถังอีกครั้ง หรือเคี่ยวให้ข้นด้วยการต้ม
- ส่วนการทำสบู่ในขั้นต่อไปนั้นดำเนินการเช่นเดียวกันกับ วิธีแรก
ข้อควรระวังในการใช้น้ำด่าง
น้ำด่างนี้เป็นพิษเพราะกัดผิวหนังและทำให้เกิดแผลร้ายแรงได้ ฉะนั้น ไม่ควรให้ถูกผิวหนัง ถ้าถูกต้องรีบล้างทันทีด้วยน้ำเปล่า แล้วล้างด้วย น้ำส้มอีกครั้งหนึ่ง
ถ้ากลืนน้ำด่างลงไป ให้รีบดื่มน้ำส้ม น้ำมะนาวหรือมะกรูดตามลงไป ให้มาก ๆ แล้วรีบไปพบแพทย์ ดังนั้นควรเก็บน้ำด่างให้พ้นมือเด็ก


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=603522#ixzz1FjTTyfr2

การทำกระทง

การทำกระทง


ใกล้จะถึงวันลอยกระทงแล้วนะคะ วันที่ 12 เดือนนี้ก็จะเป็นวันลอยกระทงแล้ว
เรามาทำกระทงกันดีกว่า เผื่อว่าใครจะสนใจทำกระทงลอยเองในปีนี้
แถมประหยัดงบประมาณ การซื้อของด้วยค่ะ คิดว่าหลายๆ คนน่าจะทำกันได้นะคะ



เริ่มจากวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการทำกระทงค่ะ
1. ใบตองตานี 2 กิโลกรัม (สำหรับขนาดตามแบบ)
ที่นิยมใช้ใบตองตานี ก็เพราะมีความเหนียว สีเขียวสวย สีสม่ำเสมอ ทนทาน



2. กล้วยไม้ 1 กำ ใหญ่
ที่ใช้กล้วยไม้เพราะกลีบทน เหี่ยวแห้งยาก
แต่ถ้าใครจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ได้
เช่น กุหลาบมอญ หรือ ใบกระบือ ก็ได้



3. ดอกพุดนิดหน่อย



4. โฟม 1 อัน ตามแบบ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 นิ้ว หนา 3 นิ้ว



5. ธูป และเทียน แบบตามชอบ



มาเตรียม อุปกรณ์ ในการทำกระทงกันต่อไป
1. กรรไกร สำหรับ ตัดใบตอง หรืออื่นๆ
2. คัตเตอร์ ใช้สำหรับตัดโฟม
3. เข็มมือเบอร์ 7 ใช้สำหรับเย็บใบตอง
4. ด้ายเบอร์ 60 ใช้กับเข็มมือ
สีเขียวใบตอง ใช้สำหรับเย็บใบตอง
สีอื่นๆ ตามแต่ชนิดของดอกไม้ที่ใช้
5. ตะปูเข็มหมุด ใช้สำหรับยึดกลีบใบตอง ขนาดยาว ประมาณ 1 นิ้ว
ต้องใช้หัวโต ถ้าหัวเล็กมากจะยึดใบตองไม่อยู่
ใช้ 1 – 2 ห่อ ขึ้นอยู่กับขนาด ของกระทง
(หาซื้อตะปูเข็มหมุดหัวโตไม่ได้ค่ะ เลยใช้ ตะปูตัวเล็กแทน)
6. ฟลอร่าเทป ใช้สำหรับพันก้านดอกไม้ พันก้านไม้
7. ไม้เสียบลูกชิ้น ใช้สำหรับยึดเทียน เพื่อให้ปักลงกระทงได้ง่าย
ใช้ 1 อัน (ซื้อผลไม้รถเข็น ก็จะได้ ไม้จิ้มผลไม้มา 1 อัน)
8. ผ้าสะอาด ใช้สำหรับเช็ดใบตอง



เตรียมวัตถุดิบ ก่อนทำกระทง
เริ่มจาก เตรียมใบตองก่อนเลยค่ะ
1. เช็ดทำความสะอาดใบตองด้วยผ้าแห้ง ไปตามขวาง
2. ผึ่งใบตองให้นิ่ม เพราะว่าถ้าใบตองสดเกินไป
เวลาพับกลีบต่างๆ ใบตองจะแตก
ถ้าพับกลีบแล้วยังมีรอยแตกแสดงว่าใบตองยังไม่นิ่มพอ



3. ตัดส่วนหัวของใบตองออก




หรือ จะใช้วิธีดึง ย้อนตามแนวเส้นใบตองก็ได้
ถ้าดึงตามแนวใบตอง ใบตองจะขาด



4. ฉีกใบตอง จากตรงกลางใบ โดยการวัด จะได้ใบตองที่มีขนาดเท่ากัน

ฉีก ขนาด 2.5 นิ้ว สำหรับทำกลีบ ประดับรอบกระทง
ใช้ประมาณ 250 อัน จำนวน ใบตองที่ฉีก จะขึ้นอยู่กับขนาดเส้นผ่าฐานที่ใช้
และจำนวนชั้นที่จะประดับด้วย (ตามแบบใช้ 5 ชั้น)
ฉีก ขนาด 2.0 นิ้ว สำหรับทำกลีบขอบกระทง ใช้ประมาณ 68 อัน
จำนวนที่ใช้จะขึ้นอยู่กับการเย็บด้วยว่า จะเย็บ ถี่ หรือ ห่างแค่ไหน
ฉีก ขนาด 2.0 นิ้ว สำหรับ ตกแต่งด้านใน ใช้ประมาณ 38-40 อัน
ใบตองช่วงกลางใบจะกว้าง ควรจะฉีกเอาไว้สำหรับทำกลีบ ขอบกระทง



5. ตัดปลายใบตองเพื่อความสวยงาม แต่ถ้าต้องการความเร็ว ไม่ต้องตัดก็ได้
เพราะสุดท้ายก็ต้องมาตัดอีกครั้งอยู่ดี



ตอนนี้ก็เตรียมใบตองเสร็จแล้วเรียบร้อย ก็จะเป็นการเตรียมกล้วยไม้
เด็ดกลีบกล้วยไม้ พักใส่ถุงไว้ เราจะใช้ส่วนของ กลีบดอก กับ ปากของดอก



จากนั้นเตรียม ฐานกระทง เกลาโฟม ให้โค้งนูน เป็นลักษณะหลังเต่า
หลังจากนั้นเก็บไว้ก่อน ยังไม่ต้องทำอะไร



เรามาเริ่มทำตัวกระทงกันเลย เริ่มจาก ทำกลีบสำหรับขอบกระทง
เราจะใช้กลีบคอม้า เย็บติดกันเป็นเส้นยาว เพื่อเอาไปพันติดรอบฐานกระทง

วิธีพับกลีบคอม้า
1. ใช้ใบตองที่ฉีกเตรียมไว้ ขนาด 2 นิ้ว
จับใบตองให้ด้านนวลอยู่บน ส่วนหัวของใบอยู่ด้านขวา



2. พับใบตองด้านซ้ายลงมา ให้ริมใบตอง ตั้งฉาก
ในรูปใบตองดูสั้น จริงๆ ยาวนะคะ ต้องยาวค่ะ ไม่อย่างนั้นจะใช้เย็บกลีบคอม้าไม่ได้




3. พับใบตองด้านขวาลงมาประกบ ให้ริมใบตองชิดกันพอดี



4. จับพับทบ เข้าหากัน



5. จับใบตองตามแนวนอน ให้ปลายแหลมหันไปทางซ้าย



6. พับริมใบตองด้านขวา ลงมาตั้งฉากชิดกับขอบพอดี



7. พับทบไปทางด้านซ้าย อีกครั้ง
ในรูป ปลายใบตองด้านขวาสั้น จริงๆ จะยาวนะคะ
ต้องตัดต่อเพราะจะเกินหน้าจอคอมฯ



8. ทำด้านหลัง แบบเดียวกัน



9. ทำกลีบเพิ่ม โดยวิธีเดียวกัน นำมาสอดทับเข้าตรงกลางทางด้านซ้ายมือ



10. จับแนวของสันทบให้ตรงและขนานกัน แล้วเย็บตรึง
ใช้ด้ายสีเดียวกับใบตอง ถ้าจะให้แน่น ควรเย็บแบบด้นถอยหลัง และแทงเข็มขึ้น



11. แทงเข็มลงไปทางด้านขวา ให้แนวด้ายเฉียงลงมา เพื่อให้เส้นด้ายขวางกับแนวเส้นของใบตอง



12. เย็บต่อไปเรื่อยๆ โดยให้ระยะห่างของแต่ละกลีบเท่าๆ กัน
ระยะห่างของแต่ละกลีบ ควรจะห่างกันตั้งแต่ 0.5 ซม.-1 ซม.
ถ้าชิดกันกว่านี้ จะมีผลตอนประกอบเข้าเป็นตัวกระทง
ซึ่งจะอธิบายในขั้นตอนนั้น แต่ถ้าเย็บห่างเกินไป จะดูไม่สวยงาม



13. เย็บให้ได้ความยาวเท่ากับเส้นรอบวง ของฐานกระทง



14. ตัดปลายใบตองให้เรียบร้อย ให้ความกว้างเท่ากันตลอดทั้งเส้น
พักเก็บไว้ไม่ให้โดนลม เพื่อป้องกันใบตองแห้งเกินไป
อาจจะเอาไปราด หรือจุ่มน้ำ 1 ครั้ง แล้วหาผ้าบางๆ ชุบน้ำปิดไว้
หรือถ้ามีถุงพลาสติคแบบถุงเย็น ก็เอาไปใส่เก็บไว้ก็ได้



ต่อจากนี้ เรามา เริ่มตกแต่ง ด้านในกระทงกันค่ะ
นำฐานกระทงที่เกลาเป็นหลังเต่าเรียบร้อย มาติดตกแต่งด้วยใบตอง
1. หาจุดกึ่งกลางของฐานกระทง
2. ใช้ ใบตองที่ฉีกเตรียมไว้ ขนาด 2 นิ้ว
ใช้กรรไกรตัดด้านที่จะติดตรงกลางฐาน ให้เฉียงเล็กน้อย ตามรูป
3. ใช้ตะปูเข็มหมุด ยึดให้แน่น



4. ติดต่อไปเรื่อย โดยให้แนวทบของใบตองอันต่อไป เกยทับกับขอบใบตองอันก่อนหน้า เล็กน้อย



5. ตัดชายใบตองส่วนเกินออกด้วย



6. ติดไปเรื่อยๆ สู้ต่อไป



7. ใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ



8. เมื่อเสร็จแล้วหน้าตาจะออกมาแบบนี้ค่ะ



จากนั้นเรามาแต่งตรงกลางของกระทงกัน
1. เริ่มจาก นำส่วนของปากดอกกล้วยไม้ มาพับตามรูป ... พับขวา



2. พับซ้าย



3. ตัด ตรงงอๆ ของโคนออก



4. นำมาติดให้เป็นลายประจำยาม ยึดติดด้วยตะปูข็มหมุด ขั้นตอนตามรูป



5. เสร็จแล้วก็จะมีหน้าตาแบบนี้
ถ้าใครมี ความคิดแต่งให้อลังการ กว่านี้ ก็ได้เลยค่ะ จะใช้ดอกพุดถักตาข่าย ก็สวยงามมิใช่น้อย



ตรงกลางที่ว่าง เราจะมาแต่งให้ดูดีขึ้นอีกนิด จะใช้กลีบบัวแต่งค่ะ

มาเริ่มพับกลีบบัว กันเลยค่ะ
1. ใช้ ใบตองที่ฉีกเตรียมไว้ ขนาด 2 นิ้ว ยาวประมาณ 4 นิ้ว
หันด้านนวล ขึ้นข้างบน วางกลีบกล้วยไม้ไว้ตรงกลาง



2. พับใบตองด้านขวาลงมา 2 ครั้ง ให้ได้แนวตั้งฉาก



3. พับด้านซ้ายเหมือนกับด้านขวา



4. ให้สันทบของทั้ง 2 ข้างชิดกันพอดี



5. จับกระพุ้ง ให้มีลักษณะเหมือนกลีบบัวหรือนมสาว จะเห็นกลีบกล้วยไม้ อยู่ด้านใน



6. ใช้กรรไกร ตัดปลายส่วนเกินให้เรียบร้อย



7. นำกลีบบัวไปติดให้รอบๆ ช่องว่างตรงกลางกระทง



8. ตัดใบตอง เป็นวงกลม นำไปปิดไว้ตรงกลางกลีบบัว



ตอนนี้เราเย็บขอบกระทงเสร็จแล้ว ทำส่วนของตรงกลางกระทงเสร็จแล้ว

มาเริ่มประกอบเป็นกระทงกันเลยค่ะ
1. นำกลีบคอม้าที่เย็บเสร็จแล้ว ลองนำมาวัดรอบกระทง เพื่อดูว่าจะพอดีหรือเปล่า



2. วัดได้พอดีแล้ว ก็เย็บตรึงให้แน่น



3. สวมเส้นกลีบคอม้าลงไปกับฐานกระทง จัดแต่งให้เรียบร้อย ยึดด้วยตะปูเข็มหมุด
ขอบของกลีบคอม้าควรจะสูงกว่าส่วนบนของฐานเล็กน้อย
ไม่ควรสูงเกิน 1 นิ้ว ขอบจะบังส่วนที่เราตกแต่งเสียหมด



4. ขอบกระทงจะดูบานๆ นะคะ ใช้มือตะล่อม เข้าไปให้หุบลง
ถึงตรงนี้ ตอนเย็บกลีบ ถ้าใครเย็บถี่มากเกินไป จะตะล่อมไม่ลงค่ะ
กระทงก็จะมีปากบานๆ ดูไม่สวยงาม



5. เสร็จแล้วก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ



จากนี้ เราจะมาเริ่มทำกลีบ ประดับรอบๆ กระทงกันนะคะ
เราจะใช้กลีบเล็บมือนางซ้อนกันค่ะ ดูตามขั้นตอนเลยค่ะ

1. ใช้ ใบตองที่ฉีกเตรียมไว้ ขนาด 2.5 นิ้ว ยาวประมาณ 4 นิ้ว
พับทบครึ่งใบตองตามขวาง ลงมาด้านนวลอยู่ด้านใน



2. จับริมใบตองเข้าด้านในกึ่งกลางของกลีบ



3. ทำอีกด้านแบบเดียวกัน



4. วางกลีบกล้วยไม้ตรงกลาง



5. พับใบตองมาด้านซ้าย ใช้กรรไกรตัดส่วนที่เกินจากกึ่งกลางออก



6. พับใบตองมาทางด้านขวา ให้ทับซ้อนกัน เหลือช่องว่างส่วนปลายเล็กน้อย



7. พับริมใบตองด้านซ้าย ซ้อนทับให้สันทบ ขนานกับสันทบด้านบน



8. พับใบตองด้านขวาที่เหลือซ้อนทับ ให้สันทบ ขนานกับสันทบด้านบน
แล้วระยะห่าง เท่ากันทั้ง 2 ซ้าย-ขวา



9. ใช้กรรไกรตัดปลายส่วนเกินออก ถ้าช่วยกันทำหลายคน
หรือกลัวว่ารอยพับจะแยกออก อาจจะเย็บตรึงด้วยด้ายเป็นรูปกากบาท ดังรูป
การพับกลีบเล็บมือนางซ้อนจะพับเป็นสามเหลี่ยม จะไม่พับซ้าย-ขวา ตรงๆ



เมื่อทำกลีบเล็บมือนางซ้อนเรียบร้อยแล้ว เราจะนำกลีบไปติดรอบๆ กระทงกันเลยค่ะ

1. ติดแถวที่ 1 ให้รอบกระทง ยึดติดด้วยตะปูเข็มหมุด
โดยให้ส่วนปลายของกลีบอยู่ต่ำกว่าขอบปากกระทงไม่เกิน 1 นิ้ว



2. ติดกลีบแถวที่ 2 โดยรอบกระทง ยึดติดด้วยตะปูเข็มหมุด
โดยให้กลีบแถวที่ 2 นั้น อยู่ระหว่างกลีบของแถว ที่ 1



3. ติดกลีบแถวที่ 3 โดยรอบกระทง ยึดติดด้วยตะปูเข็มหมุด
โดยให้กลีบแถวที่ 3 นี้ อยู่ระหว่างกลีบแถวที่ 2 และให้ตรงกับกลีบของแถวที่ 1



4. ติดกลีบแถวที่ 4 โดยรอบกระทง ยึดติดด้วยตะปูเข็มหมุด
โดยให้กลีบชั้นแถวที่ 4 นี้ อยู่ระหว่างกลีบแถวที่ 3
และให้ตรงกับกลีบ แถวที่ 2



5. ติดกลีบแถวที่ 5 ชั้นสุดท้าย โดยรอบ ยึดติดด้วยตะปูเข็มหมุด
ในแถวนี้ ให้หงายกลีบขึ้น แล้วติดกลีบให้อยู่ระหว่างกลีบ แถวที่ 4
และให้กลีบ ตรงกับกลีบแถวที่ 1 และ 3 เป็นอันเสร็จสมอารมณ์หมาย
. . . แต่เท่านั้นยังไม่พอ ... ยังไม่มี ธูปและเทียน . . .



มาตกแต่งธูปและเทียนเล็กน้อย
1. สำหรับเทียนที่มีขนาดใหญ่ เราจะเซาะร่องสำหรับเอาไม้เสียบลูกชิ้น วางลงไป
2. นำดอกพุดมามัดติด เข้ากับเทียน ประมาณ 4-5 แถว
แต่ละแถววางดอกระหว่างแถว เหมือนการติดกลีบเล็บมือนางซ้อน
3. พันฟลอร่าเทป ปิดด้าย และยาวลงมาจนถึงไม้ ตัดปลายไม้ให้แหลม

ในส่วนของธูปก็ทำแบบเดียวกัน แต่ไม่ต้องใช้ไม้เสียบลูกชิ้น
เพราะก้านของธูปเป็นไม้อยู่แล้ว มัดรวมธูปเข้าด้วยกัน แล้วตกแต่งด้วยดอกไม้

ถ้าใครใช้ดอกดาวเรือง ตัดก้านดอกออกให้เหลือแต่ส่วนของโคนดอกกับดอก
แล้วก็เสียบไม้ลงไปตรงดอกจากด้านบน แล้วพันปิดทับด้วยฟลอร่าเทป
(ส่วนของธูปถ้าก้านธูปใหญ่ มัดธูปเข้าด้วยกันแล้ว ตัดก้านออก 1-2 อัน
เพื่อให้สามารถแทงก้านธูปลงไปได้)

การทำนํ้าปลา

การทำน้ำปลา

ทุกท่านคงทราบถึงความสัมพันธ์ของน้ำปลากับชีวิตของคนไทยโดยทั่วไปแล้วจะแยกกันไม่ออกแทบทุกครัวเรือน แล้วแต่ฐานะความเป็นอยู่ คือ ฐานะดีก็ซื้อน้ำปลาดีบริโภค คนมีรายได้น้อยก็ซื้อน้ำปลาผสมหรือน้ำปลาคุณภาพต่ำ และขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจในเรื่องของน้ำปลาด้วยว่าแต่ละชนิดมีส่วนประกอบอย่างไรบ้าง

เกษตรกรในพื้นที่โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน มีการประกอบอาชีพทั้งด้านการเกษตร
และประมงชายฝั่งเป็นส่วนใหญ่ ทำการประมง และทำการเกษตรตามฤดูกาล การทำประมงชายฝั่ง ส่วนใหญ่ได้ปลากระตักเป็นจำนวนมากในระหว่างช่วง เดือน ตุลาคม ถึงเดือน เมษายน ของทุกปี

ชนิดของปลาที่ใช้
ปลาที่ใช้ในการทำน้ำปลามีหลายชนิด ได้แก่ ปลาไส้ตัน (ปลากะตัก) ปลาหลังเขียว ปลาทู ปลาลัง ปลาแป้น
ปลาทรายแดง ปลาทรายขาว ปลาข้างเหลือง เป็นต้น สำหรับปลาไส้ตันหรือปลากระตักนั้น เป็นปลาสำหรับทำน้ำปลา
และเป็นปลาที่ใช้ในการทำน้ำปลาแท้ที่มีคุณภาพสูงสุด เพราะน้ำปลาไส้ตันที่ได้จะมีกลิ่นหอมรสดี สีค่อนข้างแดง
โดยปลาที่ใช้ต้องสด และต้องคัด ล้างสะอาด เพื่อให้ได้น้ำปลาที่มีคุณภาพ
เกษตรกรในพื้นที่โครงการที่ทำการประมงและมีวัตถุดิบที่หามาได้จากการประมง นำปลากระตักสดไปขาย
ก็ไม่ได้ราคา เมื่อนำมาตากแห้งก็มีปัญหา ฝนตกทำเสียหาย และขายปลาตากแห้งได้ราคาต่ำกว่า เกษตรกรจึงได้รวมตัวกันขอคำแนะนำจากหน่วยงานศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน และทางหน่วยงาน
ศูนย์ศึกษาฯ ได้ให้งานส่งเสริมการเกษตรรับหน้าที่ในการส่งเสริมและสนับสนุนในการแปรรูปน้ำปลา
จากนั้น จึงเกิดการรวมตัวกันจัดตั้งเป็นกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร ครั้งแรกจำนวน 1กลุ่ม มีการประชุม
ระดมความคิดเพื่อจะทำกิจกรรม โดยทางราชการส่งเสริมและให้คำแนะนำโดยมีความเห็นของส่วนรวม
ว่าสมควรทำน้ำปลา เพราะจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่า
โดยกลุ่มแรก ได้ทำการทดลองหมักน้ำปลาโดยใช้โอ่งมังกรหรือโอ่งดินเผาเคลือบ แล้วจึงพัฒนา
มาเป็นถังซีเมนต์ ก่อฉาบได้ทดลองมาตลอดระยะเวลา 5 ปีเต็ม จึงได้พัฒนามาเป็นการสร้างถังคอนกรีตหล่อ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เมตร สูง 180 เมตร จนถึงปัจจุบัน
พื้นที่โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลคลองขุด ได้จัดตั้งกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร จำนวน 8 กลุ่ม ที่ผลิตน้ำปลา ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะสามารถหมักน้ำปลา
เพื่อผลิตน้ำปลาได้ถึง 27,000 กิโลกรัม แต่ยังไม่เพียงพอแก่ความต้องการของผู้บริโภค

ขั้นตอนการผลิต
การสร้างถังหมักน้ำปลา ขนาดความสูง1.8 เมตร
เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เมตร(ความลึกด้านในถังหมัก
1.20 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เมตร)
ความจุประมาณ 2,800-3,000 กิโลกรัม
การหล่อคอนกรีตเสริมด้วยโครงสร้างไม้ไผ่แทน
โครงสร้างเหล็กเพื่อป้องกันการเป็นสนิมและการแตกร้าว
ถังที่สร้างเสร็จ ให้ทำความสะอาด แล้วจึงทำการแช่น้ำจืด
เพื่อให้ถังปูนคลายความเค็มออกมาในขั้นตอนนี้จะ
ใช้เวลา 1 -2 เดือน จนกระทั่งปูนจืดจึงทำการล้างถัง
ให้สะอาดแล้วตากถังให้แห้งก่อนการบรรจุปลา


เตรียมวัสดุอุปกรณ์


1. วัสดุใช้กรอง มีดังนี้
- ถ่านล้างสะอาด
- หินแกร่ง
- ทรายหยาบ
- ผ้าขาวบาง
2. หลังคากระเบื้องโปร่งใส
3. ถุงผ้าบรรจุวัสดุกรอง จำนวน 3 ถุง ขนาดกว้าง 50 เซนติเมตร ยาว 50 เซนติเมตร เป็นผ้าขาวบางซ้อน 2 ชั้น
4. ตาข่ายพลาสติกปิดปากถัง กันผง กันแมลงต่างๆ จำนวน 1 ผืน กว้าง 2.50 เมตร ยาว 2.50 เมตร
5. พลาสติกใสชนิดหนา เตรียมเพื่อสำรองป้องกันฝนสาด หรือใช้ปิดปากถังเมื่อมีฝุ่นละอองมาก

การเตรียม



1. เกลือในการผสมกับปลาที่เอามาทำการหมักปลา ในอัตราส่วน ปลา 2 ส่วน เกลือ 1 ส่วน หรือ
ปลา 3 ส่วน เกลือ 1 ส่วน
2. ปลาไส้ตันหรือปลากระตัก จำนวนประมาณ 2,500 กิโลกรัม ต่อการหมัก 1 ถัง

กรรมวิธีการผลิต



นำปลากระตักมาคัดเลือกเอาปลาชนิดอื่นๆ ที่ปนออกมาให้หมด และทำความสะอาด แล้วนำมาคลุก
กับเกลือสมุทรให้ทั่วในอัตราส่วน 2 : 1 ปลา 2 ส่วน เกลือ 1 ส่วน หรือ ปลา 3 ส่วน เกลือ 1 ส่วน
แล้วนำไปใส่ถังหมักซีเมนต์ ภายในใส่เกลือรองก้นถัง เมื่อใส่ปลาครบจำนวนแล้วให้ใช้ตาข่ายพลาสติก
ปิดปากถัง 1 ผืน เพื่อป้องกันผงและแมลงนำหลังคาโปร่งแสงมาคลุมถังหมักแล้วยึดด้วยเชือกให้แน่น
เพื่อป้องกันลม ป้องกันฝนลงในถังหมัก

น้ำปลาจะเสียหายได้เมื่อ



1. น้ำฝนลงถัง ทำให้ความเข้มข้นของเกลือน้อยลง จะทำให้ปลาเน่า จะได้น้ำปลาที่มีกลิ่นไม่ดี
2. ถังรั่ว เนื่องจากการสร้างถัง จะต้องหล่อคอนกรีตอย่างดี

ผลผลิตที่ได้ต่อหน่วยการลงทุน
วัตถุดิบ
ปลา 1 ตัน เป็นเงิน 7,000.- บาท
เกลือ 500 กิโลกรัม เป็นเงิน 1,500.- บาท
หมัก 1 ปี
จะได้ปริมาณการผลิตต่อครั้ง ประมาณ 900-950 ขวด ( ขนาดบรรจุขนาดปริมาณ 750 ลูกบาศก์เซนติเมตร)
ผลผลิตที่ได้โดยประมาณ
ราคาต่อหน่วย ( ขวดละ) 23-25 บาท จำนวน 20,700 – 23,750 บาท

หมายเหตุ

ค่าใช้จ่ายองค์ประกอบต่างๆ เช่น บ่อหมัก บรรจุภัณฑ์ และอุปกรณ์ต่างๆ ยังไม่ได้บวกรวมในต้นทุนการผลิตนี้
การมุงหลังคาด้วยกระเบื้องโปร่งแสง เพื่อต้องการแสงแดดช่วยเร่งให้เกิดการสลายตัวของโปรตีนในปลาเป็น
กรดอะมิโนเร็วขึ้น เมื่อหมักจนได้ที่แล้วไขน้ำออกมา แต่น้ำปลาจะไม่ใสต้องกรองด้วยถุงกรอง 3 ชั้น ที่ประกอบไปด้วย
หิน ถ่าน ทรายหยาบทำการกรองจะได้น้ำปลาใสแล้วนำลงบรรจุขวด กลิ่นน้ำปลาจะหอมน่ารับประทาน
สามารถเก็บไว้บริโภคได้เป็นเวลานาน

น้ำปลาในปัจจุบัน
มีจำหน่ายอยู่ 2 ชนิด คือ
1. หัวน้ำปลา หรือน้ำปลาน้ำหนึ่ง
เป็นน้ำปลาที่เปิดจากถังครั้งแรกจะไม่มี
จำหน่ายโดยทั่วไป จะมีส่วนประกอบ
ดังนี้
1.1 ปลา 65%
1.2 เกลือ 35 %
1.3 ไม่มีวัตถุกันเสีย
1.4ไม่ปรุงแต่งกลิ่นรสและสี

2. น้ำปลาน้ำสอง เป็นน้ำปลาที่ผลิตต่อจากหัวน้ำปลา
หรือน้ำปลาน้ำหนึ่ง โดยมีส่วนประกอบ
ดังนี้
2.1 ปลา 60%
2.2 เกลือ 37 %
2.3 ไม่มีวัตถุกันเสีย
2.4ไม่ปรุงแต่งกลิ่นรสและสี คุณภาพรองจากหัวน้ำปลา



ผลการตรวจวิเคราะห์น้ำปลาน้ำหนึ่ง
1. เป็นของเหลวใส สีน้ำตาล ไม่มีตะกอน
2. ขวดแก้วกลมใส ปิดสนิทด้วยฝาพลาสติก
3. ไม่พบวัตถุกันเสีย
4. ไม่มีวัตถุให้ความหวาน
5. ไม่มีสีสังเคราะห์
6. เกลือโซเดียม ไม่น้อยกว่า 223.19 กรัม/ ลิตร
7. ปริมาณไนโตรเจนทั้งหมด ไม่น้อยกว่า
26.31 กรัม/ ลิตร
8. กรดกลูตามิคต่อไนโตรเจนทั้งหมด 0.5
9. ร้อยละของไนโตรเจนจากกรดอมิโน

การทำธูปหอม

ในปัจจุบันนี้คนไทยเสียชีวิตเพราะโรคไข้เลือดออกเป็นจำนวนมากและโรคไข้ เลือดออกจะระบาดในฤดูฝน และมียุงเป็นพาหนะนำโรคไข้เลือดออกมาสู่เรา การทำธูปไล่ยุงจากสมุนไพร โดยใช้ประโยชน์จากสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการไล่ยุงซึ่งนำสมุนไพรเหล่านั้น มาทำเป็นส่วนผสมหลักของธูปหอม เนื่องจากสมุนไพรเหล่านั้นมีกลิ่นแรงซึ่งยุงจะไม่ชอบ เช่น ตะไคร้หอม เปลือกส้ม ผิวมะกรูด เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการไล่ยุงแล้วยังส่งผลดีกับเราเพราะธูปยังส่งกลิ่นหอม สมุนไพรชนิดต่าง ๆ อีกด้วย
การทำธูปหอมเป็นของใชการทำธูปหอมเป็นของใช้ที่รูปร่างสวยงาม น่าใช้รูปแบบธรรมชาติ เช่นใบไม้ ดอกไม้
วัตถุดิบและส่วนประกอ
- ผงจันทน์ขาว
- ผงโก้แดง
- สีผสมอาหาร
- น้ำมันหอมและน้ำหอมกลิ่นต่าง ๆ
- น้ำสะอา ตะไคร้หอม เปลือกส้ม ผิวมะกรูด
ขั้นตอนการผลิต
1. นำส่วนผสม คือ ผงจันทน์ขาว 8ส่วนผสมโกโก้แดง1ส่วน ค่อยเติมน้ำลงไปคลุกเคล้าให้ทั่วจนเหนียวนุ่มคล้ายดินเหนียวเติมสี นวดให้เข้ากัน
2. กดใส่พิมพ์ และนำไปตากแดดให้แห้ง ประมาณ 7วัน นำมาอบกลิ่น 48 ชั่วโมง และบรรจุจำหน่าย

การทำวุ้นกระทิ

ส่วนผสมตัววุ้น
วุ้นผง ( ตราจรวดหรือโทรศัพท์ ) 2 ชต. บวก 1 ชช.
น้ำเปล่า 6 ถ้วยตวง
น้ำตาลทรายขาว 1 1 / 2 ถ้วยตวง
เนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ 2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
ตวงผงวุ้นและน้ำเปล่า ใส่กะทะทองยกตั้งไฟกลางเคี่ยวจนวุ้นละลายหมด ใส่น้ำตาลทราย
ต้มต่อจนน้ำตาลละลาย แล้วหยอดใส่พิมพ์ที่ใส่มะพร้าวอ่อนไว้ประมาณ 1 / 2 ของพิมพ์

ส่วนผสมหน้า
วุ้นผง ( ตราจรวดหรือโทรศัพท์ ) 2 ชต. บวก 1 ชช.
น้ำมะพร้าวอ่อน 3 ถ้วยตวง
น้ำตาลทรายขาว 3 / 4 ถ้วยตวง
หัวกะทิ 3 ถ้วยตวง
แป้งข้าวโพด 2 ชต.
เกลือป่น 2 ชช.
วิธีทำ
1. ตวงผงวุ้นและน้ำมะพร้าวอ่อนใส่หม้อยกตั้งไฟกลางเคี่ยวจนวุ้นละลาย
จึงใส่น้ำตาลต้มต่อไปให้น้ำตาลละลาย
2. นำหัวกะทิ 1 / 2 ถ้วยตวงนวดกับแป้งข้าวโพด และเกลือป่นให้แป้งละลายเทใส่หม้อ
วุ้นในข้อที่ 1 ตวงหัวกะทิที่เหลืออีก 2/1/2ถ้วย ลงไปคนให้เข้ากันลงไปคนให้เข้ากันกวนให้สุกโดยให้ใช้พายกวนอยู่เสมอ
3. ตักส่วนผสมตัววุ้นใส่พิมพ์ประมาณ 1 / 2 ของพิมพ์ทิ้งไว้พอหน้าตึง ๆ จึงตักส่วนผสม
หน้าหยอดเบา ๆ ให้เต็มพิมพ์

การทำเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม

ส่วนผสมตัวเค้กส่วนที่ 1
- แป้งเค้ก 80 กรัม
- ผงฟู 1/4 ช้อนชา
- เบคกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา
- กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
- เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
- ผงโกโก้ 25 กรัม
- น้ำตาลทรายป่น 90 กรัม

ส่วนผสมตัวเค้กส่วนที่ 2
- น้ำ 50 กรัม
- นมข้นจืด 25 กรัม
- น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
- น้ำมันพืช 65 กรัม
- ไข่แดง 2 ฟอง

ส่วนผสมตัวเค้กส่วนที่ 3

- ไข่ขาว 2 ฟอง
- น้ำตาลทราย 45 กรัม
- ครีมออฟทาทาร์ 1/4 ช้อนชา

วิธีทำตัวเค้ก
นำส่วนผสม 1 ได้แก่ แป้งเค้ก น้ำตาลทรายป่น ผงโกโก้ โซดา ผงฟู ร่อนร่วมกัน 2 ครั้งคะ ถ้าใช้วนิลลาแบบผงก็ร่อนรวมกันไปเลย แต่ใช้แบบน้ำใส่ทีหลังคะ เกลือป่นใส่หลังจากร่อนของแห้งอื่น ๆ แล้วนะคะ เพราะมันค่อนข้างเม็ดใหญ่ แล้วเอาช้อนให้เข้ากัน ทำหลุมตรงกลางไว้ค่ะ

แล้วนำของเหลว (2) ที่ผสมกันไว้เทใส่ชามผสมของแห้ง (1) ค่ะ แล้ว เอาตะกร้อมือคนแบบน้ำเซาะตลิ่งให้เข้ากัน หรือจะคนแบบแรง ๆ เร็ว ๆ ก็ได้คะ พอเข้ากันแล้วหยุดเลย ถ้าคนมากเนื้อเค้กที่ได้เหนียวคะ แล้วพักไว้ก่อนคะ
มาถึงส่วนผสมที่ 3 บ้างค่ะ ไข่ขาวและครีมออฟทาร์ทาร์ใส่ชามผสม ตีด้วยความเร็วสูงจนเป็นฟอง ใส่น้ำตาลทรายป่นลงไปแล้วตีต่อด้วยความเร็วสูงค่ะ ใส่ทีละช้อนนะ ประมาณ 3 ครั้งค่ะ จนตั้งยอดอ่อนก่อนที่จะแข็ง แล้วหยุดค่ะ
นำส่วนของไข่ขาวไปผสมกับส่วนของไข่แดงที่เราผสมกันไว้เมื่อกี้ แบ่งผสม 2 ครั้งนะ ใช้ตะกร้อมือส่วนผสมจะเข้ากันง่ายกว่าไม้พายนะคะ ถ้าตีไข่ขาวตั้งยอดมากไป ผสมกว่าจะเข้ากันใช้เวลานานนะคะ ไม่ดี เนื้อเค้กก็จะหยาบแห้งด้วย ก็ผสมกันจนหมดนะคะ พอผสมเข้ากันดีแล้วเทใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้คะ เคาะก้นพิมพ์เบา ๆ ไล่ฟองอากาศออกไปค่ะ นำเข้าเตาอบได้เลยค่ะ
เค้กสุกนำออกมา กระแทกพิมพ์ให้โครงสร้างอยู่ตัว 1 ที รอเย็นนำออกจากพิมพ์ค่ะ คราวนี้มาทำหน้านิ่มกันค่ะ

ส่วนผสมหน้าเค้ก
ส่วนที่1
- ผงวุ้น 1 ช้อนชา
- น้ำ 300 กรัม
- นมข้นจืด 200 กรัม
- น้ำตาลทราย 200 กรัม
- โกโก้ 50 กรัม

ส่วนที่2
- แป้งข้าวโพด 40 กรัม
- นมข้นจืด 150 กรัม

ส่วนที่3
- เนยสด 150 กรัม

วิธีทำหน้านิ่ม

นำ น้ำ, น้ำตาลทราย, นมข้นจืดส่วนที่ 1 (200 กรัม), ผงโกโก้ และผงวุ้น ใส่หม้อรวมกันเลยค่ะ เอาตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันก่อนค่ะ

ส่วนของ แป้งข้าวโพดและนมข้นจืดส่วนที่ 2 รวมกันให้เข้ากัน

นำไปตั้งไฟอ่อนๆ แต่ก็ไม่อ่อนเสียสีเดียว มากกว่าอ่อนหน่อยค่ะ เอาตะกร้อมือคนตลอด ให้น้ำตาลทรายและผงวุ้นละลาคนไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมเดือดนะคะ

แล้วก็เทแป้งข้าวโพดที่ละลายรวมกับนมข้นจืดลงไป ก่อนเทเขย่าๆ อีกทีคะ ตอนนี้ต้องลดไฟลงอ่อนค่ะ ใช้ตะกร้อมือคนตลอด ส่วนผสมจะข้นขึ้น ห้ามหยุดมือค่ะ

ใส่เนยสดที่หั่นชิ้นเล็กลงไปคะ ถ้าใส่รัมใส่ตอนนี้เลยคะ คนให้เนยละลาย ปิดเตาเลยคะ
จากนั้นก็คนด้วยตะกร้อมือต่อให้หน้านิ่มอุ่น ห้ามหยุดคน มันจะ set ตัวเป็นลิ่มๆ หยอดแล้วไม่สวยคะ

เมื่อเค้กเย็นแล้วนำออกจากพิมพ์ slice เป็นกี่ชั้นตามต้องการนะคะ



แบ่งหน้านิ่มตักใส่ไปค่ะ เท่าไรก็ใส่ไป แต่ดูให้มันสมดุลแล้วกันค่ะ หน้านิ่มนี่ต้องคอยคนตลอดนะ ห้ามหยุด หยุดแล้วมันจะเป็นลิ่มๆ ค่ะ

แล้วก็จับเค้กเอียงๆ ให้หน้านิ่มไหล แล้วก็กระแทกๆ ให้หมดฟองอากาศ หรือใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มก็ได้ ทิ้งเวลาไว้ให้หน้านิ่มเซ็ทตัวนิดหน่อย เอานิ้วสัมผัสดูหน้ามันจะตึงๆ ค่ะ

พอหน้านิ่มด้านล่างตึงๆ แล้วเอาเค้กชั้นต่อมาวางลงไป แล้วก็ทำเหมือนเดิมเหมือนเมื่อกี้ คราวนี้ทิ้งเวลาไว้กว่าหน้านิ่มจะเซ็ทตัวทั้งหมด
เค้กชอคโกแลต, เค้กหน้านิ่ม

วิธีการเลือกสุนัข

วิธีเลือกดู


เคล็ดลับละเอียดในการเลือกลูกหมา ก่อนอื่นต้องเปิดหูเจ้าหมาน้อยเพื่อดูว่ามีขี้หูหรือกลิ่นเหม็นหรือเปล่า ถ้ามีขี้หูดำมากๆ อาจแสดงว่า หมามีตัวไรในหู ซึ่งอาจพบว่า ลูกหมาเกาหูอยู่บ่อยๆ และถ้ามีหนองจะมีกลิ่นเหม็นแสดงว่าเจ้าหมาน้อยเป็นหูน้ำหนวก

จากนั้นก็เปิดตาดู ถ้าลูกหมาแข็งแรงดวงตาจะสะอาด มีแววสดใส คึกคัก เยื่อบุตาไม่แดง ไม่อักเสบ พบบ่อยว่าลูกหมาที่ตาแฉะมากๆ ขี้ตาเกรอะกรังเต็มไปหมดส่วนใหญ่นั้นจะป่วย ดีไม่ดีอาจเป็นไข้หัดสุนัขได้

หรือสังเกตได้อีกอย่างคือถ้าลูกหมาใช้เท้าหน้าถูตาอยู่บ่อยๆ อาจเป็นเพราะมีการระคายเคียงของดวงตา

ต่อมาก็เปิดปาก ดูเหงือกซะหน่อยว่าสีซีดหรือไม่ ลูกหมาสุขภาพดี เหงือกจะมีสีชมพูเรื่อยๆ ฟันก็ควรจะสะอาดและดูดี ไม่เหยเก

สำหรับผิวหนังนั้นก็ต้องดูให้ดีเพราะลูกหมาที่นี่เลี้ยงจะต้องมีขนเป็นมันเงางาม ไม่มีตำหนิเป็นแผลหรือฝี ไม่มีรังแค แม้กระทั่งพวกสัตว์ประหลาด เช่น เห็บ เหา ไร หมัด เพราะเจ้าสัตว์พวกนี้อาจเป็นตัวนำโรคได้ โดยเฉพาะถ้ามีขนร่วงที่บริเวณขอบตาหรือบริเวณข้อศอกมักจะเป็นขี้เรื้อนในอนาคต

สุดท้ายเช็กก้นมันซะหน่อย เพียงแค่ยกหางขึ้นมาดูก็สามารถตรวจได้ ก้นลูกหมาที่สมบูรณ์ดีจะต้องสะอาดเกลี้ยงเกลาและแห้งสนิท จะต้องไม่มีคราบสกปรกใดๆทั้งสิ้น เพราะถ้ามีหมายถึงลูกสุนัขท้องเสีย ซึ่งอาจป่วยเป็นโรคลำไส้อักเสบจากเชื้อไวรัสได้ เราอาจจะสังเกตดูอากัปกิริยาของลูกหมาที่มีปัญหาที่เกี่ยวกับกันได้ อาทิเอากันไถพื้นอยู่เรื่อยๆ หรือเลียก้นอยู่ตลอดเวลา อาจแสดงถึง อาการระคายเคือง ซึ่งมีสาเหตุมาจากต่อมรอบก้นอักเสบได้

หลังจากซื้อได้แล้ว ต้องเลี้ยงมันดีๆ ให้ผูกพันเป็นเพื่อนกับเราเพราะพอมันโตขึ้น แม้ว่าจะน่ารักน้อยลงกว่าเมื่อตอนเป็นลูกหมา แต่เราจะรักมันเหมือนเดิม

วิธีการเลี้ยงปลากัด

วิธีการเลี้ยงปลากัด

ปลากัดเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่าสนใจมาก เพราะมันมีสีสันที่สวยงาม ไม่ต้องใช้พื้นที่ในการเลี้ยงมากนักและมีราคาที่ไม่แพงจนเกินไป ตัวผู้จะมีหางที่ยาวในขณะที่ตัวเมียดูเรียบง่ายกว่าเมื่อเทียบกับตัวผู้ ปลากัดเป็นปลามีสีสันหลากหลายเช่น แดง ฟ้า ม่วง และขาว เพื่อให้ปลากัดมีสุขภาพที่ดีและร่างเริง มีข้อแนะนำที่ควรปฏิบัติตามดังนี้

ในการเลี้ยงปลากัดควรแยกเพศผู้ให้อยู่ตัวเดียว เพราะถ้าอยู่ร่วมกัน มันจะต่อสู้กันจนเกิดการตายได้ แต่ถ้าเป็นปลาเพศเมียจะมีนิสัยไม่ดุร้ายและสามารถที่จะเลี้ยงรวมกันเป็นจำนวนมากได้

ปลากัดมีถิ่นกำเนิดตรงบริเวณน้ำนิ่งที่เป็นทุ่งข้าวทางเอเชียใต้ ดังนั้นปริมาณออกซิเจนที่มันได้รับจึงต่ำ มันจึงมีการช่วยหายใจโดยงับเอาอากาศที่บริเวณผิวน้ำเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจน ด้วยเหตุนี้ปลากัดจึงไม่ต้องการท่อออกซิเจนในภาชนะเลี้ยงปลา และขนาดของภาชนะไม่ควรจะเล็กเกินไป ควรมีขนาดที่พอเหมาะ โดยอาจจะเป็นภาชนะที่ใช้เลี้ยงปลากัดโดยเฉพาะ หรือ อาจนำแก้วใส่บรั่นดีขนาดใหญ่มาเลี้ยงก็ได้ ควรจะใส่กรวดหิน พืชน้ำหรือหาวัสดุมาตกแต่งที่เลี้ยงปลาให้สวยงาม เพื่อให้เป็นบ้านที่น่าอยู่สำหรับปลากัดและมีความสวยงามแก่ผู้ที่พบเห็นอีกด้วย

น้ำในภาชนะเลี้ยงควรเปลี่ยนทุก2อาทิตย์ โดยน้ำที่เปลี่ยนนี้ต้องมีสภาวะที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงปลากัด เช่นในน้ำประปาจะมีสารแปลกปลอมโดยเฉพาะคอร์รีนซึ่งจะเป็นอันตรายต่อปลากัด ดังนั้นก่อนจะเปลี่ยนน้ำควรพักน้ำประปาไว้2วันก่อน เพื่อให้ คอร์รีน ในน้ำระเหยออกไปในอากาศ ผู้เลี้ยงอาจจะใช้น้ำกรองหรือน้ำที่ซื้อมาจากร้านขายปลาก็ได้ นอกจากนี้ควรเก็บน้ำเดิมไว้1/4ส่วนรวมกับน้ำที่จะนำมาเปลี่ยน3/4ส่วน เพราะจะเป็นการรักษาสมดุลของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อปลากัด ผู้เลี้ยงควรทำความสะอาดภาชนะด้วยผ้าหรือกระดาษที่สะอาด ไม่ควรใช้สารทำความสะอาดเพราะถ้าตกค้างจะเป็นอันตรายต่อปลากัด นอกจากนี้อุณหภูมิของน้ำควรจะเท่ากับอุณหภูมิห้องก่อนที่จะนำปลากัดไปปล่อยในน้ำด้วย


การเลี้ยงปลากัด


การเลี้ยงปลากัดใช่ว่าจะเลี้ยงไว้เพื่อกัดอันเป็นการพนัน ขันต่อกันแต่เพียงประการเดียว ยังมีการเลี้ยงไว้ดูเล่นอีกด้วยและการเล่นแบบนี้แพร่หลายไปทั่วโลก ทั้งนี้เพราะปลากัดเป็นปลาที่มีความสวยงามมิใช่น้อยเลยทีเดียว

การเลี้ยงไว้ดูเล่น

ถ้ามีความประสงค์จะเลี้ยงปลากัดไว้ดูเล่นอยู่กับบ้านโดยไม่ต้องหวังจะกัดแข่งขันกับใครแล้วก็ย่อมกระทำได้เช่นกัน จะเลี้ยงไว้ในภาชนะไม่ว่าจะเป็นขวดโหล หรือตู้ปลาขนาดเล็กได้ตามต้องการ สำหรับสถานที่จะตั้งเลี้ยงตรงไหน วอกมุมใด ก็ย่อมทำได้ตามความเหมาะสม

ในกรณีที่ต้องการนำปลากัด มาเลี้ยงในตู้ปลาร่วมกับปลาอื่นๆก็ย่อมกระทำได้เช่นกัน ปลากัดจะไม่ค่อยมีพฤติกรรมก้าวร้าวนัก ซึ่งผู้เลี้ยงเริ่มคิดที่จะมีปลาต่างๆมักมองข้ามปลากัดนี้ไป อาจเนื่องมาจากตามร้านขายปลาจะแยกเลี้ยงปลากัดไว้ในขวดโหล ประกอบกับเหตุผลที่ว่าปลากัดเป็นปลานักสู้ ผู้เลี้ยงกลัวว่าจะไปรบกวนปลาในตู้ให้เกิดการเสียหายได้



เนื่องจากปลากัด สามารถหายใจโดยหุบอากาศจากผิวน้ำได้ แม้ว่าในน้ำจะมีออกซิเจนไม่เพียงพอ ปลากัดสามารถเลี้ยงไว้ในขวดหรือโหลได้โดยไม่เอาใจใส่เรื่องน้ำมากเหมือนกับปลาตู้ทั่วไป อย่างไรก็ดีโดยธรรมชาติแล้วปลากัดก็เหมือนกับปลาทั่วๆไป คือเป็นปลาที่ต้องการอยู่ในน้ำที่มีความสดใส สะอาด และคุณภาพดี ดังนั้นถ้านำปลากัดมาเลี้ยงไว้ในตู้ปลาที่มีระบบกรองน้ำและปั๊มอากาศแบบที่นิยมเลี้ยงกันทั่วไป ข้อดีของการเลี้ยงปลากัดในตู้ก็คือปริมาณออกซิเจนเหนือผิวน้ำมีมากเกินพอสำหรับปลากัดเมื่อเทียบกับปริมาณออกซิเจนที่อยู่ใรขวดโหล ทำให้ปลามีสุขภาพสมบูรณ์ยิ่งกว่าการเลี้ยงขวดโหล ซึ่งปลากัดที่เลี้ยงในขวดโหลจะไม่ร่าเริงเท่าที่ควร ชอบนอนนิ่งๆ อยู่ก้นขวด ครีบทุกครีบหุบตลอดเวลา ตรงกันข้ามถ้านำปลากัดไปเลี้ยงไว้ในตู้ปลา ปรากฏว่าปลากัดจะมีความร่าเริงมาก ว่ายน้ำขึ้นลงเพื่อฮุบอากาศ ครีบกางออกอย่างสวยงาม แสดงให้เห็นอย่างแน่ชัดว่าปลากัดชอบอยู่ในน้ำที่มีสภาพสมบูรณ์และมีพื้นที่อย่างกว้างๆกว่าอยู่ในขวดอย่างแคบๆ ทำให้ดูสวยงามเป็นที่ต้องตื่นตาอยู่ตลอดเวลา การเลี้ยงปลากัดไว้ดูเล่นนี้แม้ว่ามีปลากัดตัวผู้อยู่เพียงตัวเดียวก็อาจทำให้มีการต่อสู้ได้เหมือนกัน โดยเอากระจกไปพิงไว้กับข้างภาชนะที่ใส่มันไว้ นั่นคือให้มันกัดต่อสู้กับเงาของมันเอง

วิธีการเลี้ยงหนูเเฮมเตอร์

วิธีการเลี้ยงหนูแฮมเตอร์
อาหารหลักที่ควรให้แฮมสเตอร์ คือ ธัญพืชโดยจะโปรยอาหารลงบนพื้นก็ได้เพราะแฮมสเตอร์ไม่มีนิสัยชอบก้มกิน มันจะชอบหยิบอหารออกมากินนอกภาชนะมากกว่า โดยใช้เท้าหน้าจับอาหารกิน แต่การใช้ภาชนะมีข้อดี คือจะทำให้เราได้รู้ว่ามันเอาอาหารออกไปกิน มากน้อยแค่ไหน ถ้ามันป่วยเราก็รู้ได้ นอกจากนี้ การใส่ภาชนะยังทำให้อาหารและขี้เลื่อยไม่ปะปนกันทำให้การเปลื่ยนขี้เลื่อยทำได้ง่ายโ
ยไม่ต้องทิ้งอาหารที่ปนกับขี้เลื่อย
สิ่งที่ควรทราบในการให้อาหารแฮมสเตอร์

1. อย่าให้ผักสด หรือผลไม้สดบ่อยๆหรือมากเกินไป การให้ผักสดควรให้แค่สัปดาห์ละครั้งเพราะอาจจะทำให้แฮมสเตอร์ท้องอืด หรือท้องเสียได้และหากมันกินไม่หมดควรจะเก็บทิ้งทันที

2. พยายามอย่าเปลื่ยนอาหารแบบทันทีทันใด ควรจะค่อยๆ เปลื่ยนอาหารโดยเอาอาหารเก่า ผสมกับอาหารใหม่ และเพิ่มอัตราส่วนอาหารใหม่ให้มากขึ้นเรื่อยๆ จนแทนที่อาหารเก่าในที่สุด อย่าเปลื่ยนแบบฉับพลัน

3. อาหารที่ควรหลีกเลื่ยงช็อคโกแลต โดยเฉพาะ Dark Chocolate เพราะมีสาร Theobromine ซึ่งเป็นพิษต่อแฮมสเตอร์ได้

4. หลีกเลื่ยงผักผลไม้ ที่มีรสเปรี้ยวๆ เช่น มะนาว ส้ม สับปะรด เป็นต้น

5. เราอาจจะเสริมโปรตีนให้กับแฮมสเตอร์ได้ โดยการให้อาหารเม็ดของแมวหรืออาหารสุนัขที่เป็น บิสกิต ใส่ลงไปได้บ้างเล็กน้อย ซึ่งช่วยเสริมโปรตีนและยังช่วยลับฟันแฮมสเตอร์ไม่ให้ยาวเกินไปอีกด้วย

6. อาหารที่ไม่ปลอดภัยสำหรับแฮมสเตอร์ ได้แก่ หัวหอม มันฝรั่งดิบ กระเทียม น้ำอัดลม ลูกกวาด เป็นต้น

7. หลีกเลี่ยงอาหารที่แหลมคม หรือ เหนียวหนืด

8. ขนมหรืออาหารหวานๆเพราะแฮมสเตอร์แคระมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้

9. หลีกเลี่ยง อาหารเม็ดของกระต่าย เพราะบางชนิดใส่สารอาหารบางอย่างที่ช่วยกระตุ้น การเจริญเติบโตในกระต่าย แต่เป็นอันตรายต่อแฮมสเตอร์

10. หลีกเลี่ยงผักผลไม้ที่มีกลิ่นฉุน เช่น กระเพรา

อาหารเสริมอื่นๆ

ไข่

หนูแฮมสเตอร์ชอบกินไข่ต้มที่ต้มสุก และไข่ต้มยังมีโปรตีนสูงอีกด้วยโดยเฉพาะในแม่แฮมสเตอร์ที่กำลังตั้งครรภ์ แต่ไม่ใช่ว่าให้ตลอด นานๆ ให้ทีถ้ากินไม่หมดต้องเก็บออกให้หมด

น้ำมันตับปลา

น้ำมันตับปลาจะอุดมไปด้วยวิตามิน A และ D ใช้โดยการหยดเพียงไม่กี่หยดลงบนเมล็ดพืชก็ได้สามารถให้ได้เพียงสัปดาห์ละครั้ง อาจจะให้อาหารเม็ด สำหรับสุนัขที่มีส่วนผสมของน้ำมันตับปลาก็ได้

เนื้อ

เรื่องการให้เนื้อเป็นอาหารแก่แฮมสเตอร์นั้น เป็นเรื่องที่ผู้เลี้ยงทั้งหลายต่อต้านกันมานาน เพราะเชื่อว่า อาหารประเภทเนื้อจะกระตุ้น ให้แฮมสเตอร์ดุร้าย แต่ก็มีรายงานจากผู้เลี้ยงหลายๆ คนซึ่งให้เนื้อเป็นอาหารเป็นประจำว่าไม่มีการก้าวร้าวผิดปรกติแต่อย่างใด โกยอาจจะให้เป็น เนื้อวัวชิ้นเล็กๆ หรืออาจจะให้อาหารสุนัขที่บรรจุกระป๋องก็ได้

นม

อาจจะให้ได้บ้าง โดยเฉพาะแม่หนูที่กำลังท้อง หรือ อาจจะให้เป็นนมอัดเม็ดก็ได้

ประโยชน์ของผักบุ้ง

ประโยชน์ของผักบุ้ง


ผักบุ้งหรือผักทอดยอด บางทีถูกเรียกว่าผักตาหวาน เพราะมีเบต้าแคโรทีน ซึ่งทำให้สายตาของเราดีและ

สวย ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตา ทำให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยง เป็นประกายสวยงาม ไม่แสบ หรือ

รู้สึกแห้งในตา ผักบุ้งไทยต้นขาวจะมีวิตามินซีสูงกว่าชนิดอื่น ๆ ช่วยบำรุงรักษาเหงือก ฟัน ให้แข็งแรง ช่วยทำให้ผิวสวย

เลือดดี และเพิ่มความต้านทานโรค ไม่เกิดอาการ แพ้ ต่าง ๆ ง่าย (ต้องกินสด ๆ คุณค่าทางวิตามินจะได้ไม่สูญเสียไป) นอกจาก

นี้ยังมีธาตุเหล็กช่วยบำรุงเลือด มีแคลเซียม และฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง รวมทั้งมีเส้นใย อาหารที่ช่วยให้

ระบบขับถ่ายคล่องขึ้น

ประโยชน์ของข้าวโพด

ประโยชน์ของข้าวโพด


ข้าวโพด มีถิ่นกำเนิดแถบประเทศตะวันตก เป็นที่นิยมบริโภคกันในแถบทวีปอเมริกากลางและใต้ สำหรับในประเทศไทย ข้าวโพด เป็นที่รู้จักและรับประทานกันมาช้านานแล้ว

ข้าวโพดหวานสามารถต้านโรคมะเร็ง และมีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้อื่น

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่าข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด

เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน ว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป สู้กินดิบๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป

เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชราต่างๆ อย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย

คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุลิกเป็นพวก

พฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่างอื่น การทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น

ประโยชน์ของไข่

มีประโยชน์ทางโภชนาการ ประกอบด้วยไข่ แดง ไข่ขาว
ในไข่ขาวจะมีโปรตีนสูง และเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง คือมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย(Essentil aminoacid)
ในไข่แดงจะมีสารอาหารหลายชนิด ได้แก่โปรตีน ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุ ไขมันในไข่แดงส่วนใหญ่จะเป็นไขมันไม่อิ่มตัว รวมถึงomega-3 ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัว ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ได้แก่ ธาตุเหล็ก โฟลิก(Folic acid) ไรโบเฟลวิน(Riboflavin) โคลีน (choline) วิตามินเอมีมาก บี ดี และ อี วิตามิน โฟลิก เป็นสารที่ป้องกันเลือดจาง และป้องกันความพิการแต่กำเนิด มีความจำเป็นในหญิงที่ตั้งครรภ์
โคลีน(Choline) เป็นสารที่ช่วยเสริมสร้างความจำ(Cognitive function) ช่วยพัฒนาการในเด็กที่กำลังเติบโต

ความวิตกกังวลเรื่องคลอเรสเตอรอลในไข่แดง
ในงานวิจัยที่พบภายหลัง พบว่าคลอเรสเตอรอลในไข่มีผลทำให้คลอเรสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นความกลัวคลอเรสเตอรอลในไข่เริ่มลดลง โดยในสมาคมหัวใจของ สหรัฐอเมริกา (American Heart Association หรือ AHA) ได้เปลี่ยนคำแนะนำในการทานไข่ ซึ่งจากเดิมไม่ควรเกิน 3ฟองต่อสัปดาห์ เป็น วันละไม่เกินหนึ่งฟอง

ไข่ ในการปรุงอาหารควรใช้น้ำมันที่ไม่อิ่มตัว
เกี่ยวกับคลอเรสเตอรอล
เฉพาะอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้นถึงให้โคเลสเตอรอลโดยมีปริมาณมากน้อยแตกต่างกัน ประมาณสี่ในห้าหรือ 80% ของโคเลสเตอรอลทั้งหมดถูกสร้างขึ้นเองภายในร่างกาย ร่างกายสามารถสังเคราะห์โคเลสเตอรอลได้จากกรดอะซิติก (acetic acid) และอะซิติลโคเอ็นซัยม์เอ (acteyl coenzyme A) ซึ่งได้จากการเผาผลาญสารอาหารคาร์โบไฮเดรต ไขมัน หรือโปรตีน ภายในร่างกาย

สรุปว่า ไข่ขาวมีปริมาณวิตามินมากกว่าไข่แดง แต่ไข่แดงมีวิตามินเอมากที่สุด
ประโยชน์ของไข่ ปรุงอาหาร อนามัย และมีราคาถูกที่สุดเมื่อเทียบกับสินค้าอื่นๆ ที่มีสารอาหารมากที่สุดเมื่อเทียบเท่าด้วยราคา

ประโยชน์ของเกลือ

ประโยชน์ของเกลือ


สมัยโบราณ ต้องทำสงคราม เพื่อแย่งเกลือ โรคไหนๆ ก็แพ้เกลือ



เชื่อไหมว่าเรามียาดีประจำบ้านกันทุกคน ก็เกลือที่อยู่ในครัวนี่เอง...



1. ไอเพราะเป็นหวัด
แค่เอาน้ำเปล่า 1 ถ้วย มาเหยาะเกลือลงไป 1 ช้อนชา คนเบาๆ จนกว่าเกลือจะละลาย แล้วใช้บ้วนปากกลั้วคอหลายๆ ครั้ง ความเค็มจะเข้าไปละลายเสมหะในลำคอ ทีนี้ก็ไม่ต้องไอให้คนข้างๆ รำคาญแล้ว



2. มึนหัว สมองไม่แล่น
สาวทำงานที่เจอแบบนี้อย่ารอช้า รีบรองน้ำอุ่นให้เต็มถัง หยอดเกลือลงไป 2-3 ช้อนชา แล้วเอามาอาบ รับรองว่าสมองจะโล่งคิดงานได้ปรู๊ดปร๊าด เพราะเกลือช่วยกระตุ้นให้เลือดลงไหลเวียนดี มีเลือดไปหล่อเลี้ยงสมอง



3. เร่งให้อาเจียน
ถ้าบังเอิญกินสารพิษเข้าไป หรืออึดอัดอาหารไม่ย่อย จนต้องทำให้อาเจียนออกมา ให้ดื่มน้ำเกลือเข้มข้นแก้วใหญ่ๆ ไม่นานจะได้อาเจียนสมใจ



4. คัดจมูก
จะแค่คัดจมูกน้ำมูกไหล หรือลุกลามจนกลายเป็นโรคจมูกอักเสบก็ตาม ให้ใช้น้ำเกลือเจือจางหยอดเข้าไปในรูจมูกทั้งสองข้าง เกลือจะช่วยฆ่าเชื้อโรคในโพรงจมูก จะได้หยุดซี้ดซ้าดปาดน้ำมูกได้เสียที



5. คันตามผิวหนัง
ทาบริเวณที่คันด้วยน้ำเกลือ เชื้อราบริเวณนั้นจะสิ้นฤทธิ์



6. โรคตาแดง
โรคนี้มีเชื้อโรคเป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง แต่สามารถปฐมพยายาบาลตัวเองก่อนถึงมือหมอได้ง่ายๆ ด้วยการเอาผ้าขนหนูสะอาดๆ (ถ้าต้มฆ่าเชื้อโรคก่อนได้ยิ่งดี) จุ่มน้ำเกลือแล้วเอามาเช็ดตา อาจจะแสบบ้างแต่นั่นล่ะคือยาดี หลังจากที่เกลือเข้าไปฆ่าเชื้อโรคในตาแล้ว ก็ล้างตาหลายๆ ครั้งด้วยน้ำสะอาด อาการบวมแดงมีขี้ตาของคุณจะทุเลาลง



7. แผลยุงกัด
ถ้าใครถูกเจ้ายุงตัวร้ายมาขอบริจาคเลือดไป แถมยังทิ้งรอยแผลไว้เป็นที่ระลึก อย่ามัวแต่เกาให้เสียลุคส์สาวงาม รีบๆ ใช้น้ำเกลือทาที่รอยแผล ไม่นานความคันจะหายไป และรอยบวมก็จะยุบเร็วด้วย

ประโยชน์ของกระเทียม

คุณประโยชน์ของกระเทียม (Garlic)
« on: August 24, 2009, 10:38:49 PM »
ข้อมูลจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ระบุว่า กระเทียม (garlic) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Allium sativum Linn. แทบทุกครัวเรือนรู้วิธีการเจียวกระเทียมในน้ำมันให้หอมก่อน แล้วจึงใส่เนื้อสัตว์หรือผัก เป็นวิธีดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์และเพิ่มรสชาติให้กับอาหารประเภทผัดชนิดต่างๆ ได้อย่างดี ทั้งยังใช้กระเทียมเจียวโรยหน้าอาหารอีกหลายอย่าง หรือใช้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในเครื่องแกงชนิดต่างๆ โดยเฉพาะเป็นตัวช่วยแต่งกลิ่นและรสร่วมกับมะนาวในน้ำพริกกะปิ แม้แต่พริกน้ำปลาหรือน้ำจิ้มรสแซบก็จะลืมกระเทียมไปไม่ได้ นอกจากนี้ใบและหัวกระเทียมสดๆ ยังเป็นผัก รวมถึงกระเทียมดองของอร่อย

กระเทียมยังเป็นสมุนไพรแก้ไขบรรเทาปัญหาสุขภาพของชาวบ้านมาโดยตลอด หมอพื้นบ้านไทยใช้กระเทียมสดรักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน โรคบิด ป่วง แก้ไอ และกระจายโลหิต กระทั่งเป็นที่สรุปได้ว่า กระเทียมเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเด่น 2 ประการ คือ ใช้ทารักษาโรคผิวหนัง และรับประทานแก้โรคความดันโลหิตสูง

การศึกษาทดลองคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาในระยะหลัง พบว่า กระเทียมมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้อีกหลายอย่าง แต่การนำมาใช้ประโยชน์ให้ได้ผลอย่างจริงจังยังจะต้องมีการศึกษาผลทางคลินิกวิทยาให้ถ่องแท้เสียก่อน โดยสรรพคุณต่างๆ ของกระเทียมมีดังนี้
1.ฆ่าเชื้อรา คือ กลาก เกลื้อน และเชื้อราที่เกิดตามเล็บ หนังศีรษะและผม
2.ฆ่าเชื้อยีสต์ชนิดที่ทำให้เกิดลิ้นขาวเป็นฝ้าในเด็กทารก และทำให้เกิดโรคมุตกิดระดูขาวที่มักจะเกิดในหญิงที่ตั้งครรภ์ หรือกินยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆ
3.ลดความดันโลหิตสูง
4.ลดไขมันและคอเลสเตอรอล
5.ป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว
6.ลดน้ำตาลในเลือด
7.ฆ่าหรือยับยั้งเชื้อแบคทีเรียแทบทุกชนิด กล่าวคือ มีสารอัลลิซิน ที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่มักทำให้เกิดโรคได้ถึง 15 ชนิด โดยเฉพาะยับยั้งเชื้อพวกที่ดื้อยาเพนนิซิลินได้ดีกว่าเชื้อพวกที่ไม่ดื้อยาอีกด้วย นอกจากนี้ ยังฆ่าเชื้อบิดมีตัวที่มีพิษต่อลำไส้ได้ดี โดยมีสารที่สำคัญคือกาลิซิน รวมทั้งสามารถยับยั้งเชื้อบิดเทียม ซึ่งไม่รบกวนแบคทีเรียตัวอื่นที่มีประโยชน์ต่อลำไส้
8.ยับยั้งเชื้อต่างๆ เช่น เชื้อที่ทำให้เกิดฝีหนอง และใช้รักษาแผลสด แผลที่เป็นหนอง คออักเสบ ทอนซิลอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เชื้อวัณโรค และเชื้อปอดบวม
9.รักษาไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
10.เป็นยาขับเสมหะและมีฤทธิ์ขับเหงื่อและขับปัสสาวะ
11.รักษาโรคไอกรน
12.แก้หืดและโรคหลอดลม
13.แก้ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย
14.ควบคุมโรคกระเพาะ คือมีสารเอเอส 1 ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ และยังช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบชนิดรุนแรงได้ด้วย
15.ขับพยาธิต่างๆ ได้หลายชนิด ได้แก่ พยาธิเข็มหมุด พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย และมีรายงานทดสอบจากอินเดียว่า กระเทียมมีสารไดอัลลิลไดซัลไฟด์ มีฤทธิ์ใช้ฆ่าพยาธิไส้เดือนได้ดี
16.แก้เคล็ดขัดยอกและเท้าแพลง เพราะมีสารอัลลิซินเป็นตัวช่วยทำให้เลือดไหลเวียนมายังบริเวณที่ทาถูนวดยาได้ดีมากขึ้น
17.แก้ปวดข้อและปวดเมื่อย
18.ต่อต้านเนื้องอก
19.กำจัดพิษตะกั่ว
20.บำรุงร่างกาย

ประเทศญี่ปุ่นได้ค้นพบสารในกระเทียมชื่อสคอร์ดินิน ไม่มีกลิ่น แต่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง รวมทั้งช่วยให้เนื้อเยื่อเจริญเติบโตและช่วยลดไขมันในร่างกาย และยังมีผู้พบว่าในกระเทียมมีธาตุเจอร์เมเนียมค่อนข้างสูง ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันการเกิดมะเร็ง โรคหืด โรคไต โรคตับอ่อนและอาการท้องผูก รวมถึงมีสารชักนำวิตามินบี 1 เข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้นเท่าตัว โดยรวมเป็นสารอัลลิลไทอะมิน ทำให้วิตามินบี 1 ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นถึง 20 เท่า

การทำโครงงาน

1. ชื่อโครงงาน
ชื่อโครงงานเป็นสิ่งสำคัญประการแรก เพราะชื่อโครงการจะช่วยโยงความคิดไปถึง
วัตถุประสงค์ของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ และควรกำหนดชื่อโครงการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักด้วย
การตั้งชื่อโครงงานของนักเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา นิยมตั้งชื่อให้มีความกะทัดรัดและดึงดูดความสนใจจากผู้อ่าน ผู้ฟัง แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึง คือ ผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ต้องเข้าใจปัญหาที่สนใจศึกษาอย่างแท้จริง อันจะนำไปสู่การเข้าใจวัตถุประสงค์ของการศึกษาอย่างแท้จริงด้วย เช่น
โครงงานวิทยาศาสตร์ ชื่อ “ถุงพลาสติกพิชิตแมลงวันตัวน้อย” ซึ่งปัญหาเรื่องที่สนใจศึกษาคือถุงน้ำพลาสติกสามารถไล่แมลงวันที่มาตอมอาหารได้จริงหรือ จากเรื่องดังกล่าวผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ บางคนหรือบางคณะอาจสนใจตั้งชื่อโครงงานวิทยาศาสตร์ ว่า “การศึกษาการไล่แมลงวันด้วยถุงน้ำพลาสติก” หรือ “ผลการใช้ถุงน้ำพลาสติกต่อการไล่แมลงวัน” ก็เป็นได้
อย่างไรก็ตามจะตั้งชื่อโครงการในแบบใด ๆ นั้น ต้องคำนึงถึงความสามารถที่จะ
สื่อความหมายถึงวัตถุประสงค์ที่ต้องการศึกษาได้ชัดเจน
2. ผู้จัดทำโครงงาน
การเขียนชื่อผู้รับผิดชอบโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งดีเพื่อจะได้ทราบว่าโครงงานนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของใครและสามารถติดตามได้ที่ใด
3. ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน
การเขียนชื่อผู้ให้คำปรึกษาควรให้เกียรติยกย่องและเผยแพร่ รวมทั้งขอบคุณที่ได้ให้คำแนะนำการทำโครงงานวิทยาศาสตร์จนบรรลุเป้าหมาย
4. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
ในการเขียนที่มาและความสำคัญของโครงงานวิทยาศาสตร์ ผู้ทำโครงงานจำเป็นต้องศึกษา หลักการทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจจะศึกษา หรือพูดเข้าใจง่าย ๆ ว่าเรื่องที่สนใจจะศึกษานั้นต้องมีทฤษฎีแนวคิดสนับสนุน เพราะความรู้เหล่านี้จะเป็นแนวทางสำคัญในเรื่องต่อไปนี้
- แนวทางตั้งสมมติฐานของเรื่องที่ศึกษา
- แนวทางในการออกแบบการทดลองหรือการรวบรวมข้อมูล
- ใช้ประกอบการอภิปรายผลการศึกษา ตลอดจนเสนอแนะเพื่อนำความรู้และ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่ค้นพบไปใช้ประโยชน์ต่อไป
การเขียนที่มาและความสำคัญของโครงงาน คือ การอธิบายให้กระจ่างชัดว่าทำไม ต้องทำ ทำแล้วได้อะไร หากไม่ทำจะเกิดผลเสียอย่างไร ซึ่งมีหลักการเขียนคล้ายการเขียนเรียงความ ทั่ว ๆ ไป คือ มีคำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป
ส่วนที่ 1 คำนำ :

เป็นการบรรยายถึงนโยบาย เกณฑ์ สภาพทั่ว ๆ ไป หรือปัญหาที่มีส่วนสนับสนุนให้ริเริ่มทำโครงงานวิทยาศาสตร์
ส่วนที่ 2 เนื้อเรื่อง :
อธิบายถึงรายละเอียดเชื่อมโยงให้เห็นประโยชน์ของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ โดยมี หลักการ ทฤษฎีสนับสนุนเรื่องที่ศึกษา หรือการบรรยายผลกระทบ ถ้าไม่ทำโครงงานเรื่องนี้
ส่วนที่ 3 สรุป :

สรุปถึงความจำเป็นที่ต้องดำเนินการตามส่วนที่ 2 เพื่อแก้ไขปัญหา ค้นข้อความรู้ใหม่ ค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ให้เป็นไปตามเหตุผลส่วนที่ 1
5. วัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน
วัตถุประสงค์ คือ กำหนดจุดมุ่งหมายปลายทางที่ต้องการให้เกิดจากการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ในการเขียนวัตถุประสงค์ ต้องเขียนให้ชัดเจน อ่านเข้าใจง่ายสอดคล้องกับชื่อโครงงาน หากมีวัตถุประสงค์หลายประเด็น ให้ระบุเป็นข้อ ๆ การเขียนวัตถุประสงค์มีความสำคัญต่อแนวทาง การศึกษา ตลอดจนข้อความรู้ที่ค้นพบหรือสิ่งประดิษฐ์ที่ค้นพบนั้นจะมีความสมบูรณ์ครบถ้วน คือ ต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทุก ๆ ข้อ
6. สมมติฐานของการศึกษา
สมมติฐานของการศึกษา เป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้ทำโครงงาน ต้องให้ความสำคัญ เพราะจะทำให้เป็นการกำหนดแนวทางในการออกแบบการทดลองได้ชัดเจนและรอบคอบ ซึ่งสมมติฐานก็คือ การคาดคะเนคำตอบของปัญหาอย่างมีหลักและเหตุผล ตามหลักการ ทฤษฎี รวมทั้งผลการศึกษาของโครงงานที่ได้ทำมาแล้ว
7. ขอบเขตของการทำโครงงาน
ผู้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ต้องให้ความสำคัญต่อการกำหนดขอบเขตการทำโครงงาน เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่น่าเชื่อถือ ซึ่งได้แก่ การกำหนดประชากร กลุ่มตัวอย่าง ตลอดจนตัวแปรที่ศึกษา
1. การกำหนดประชากร และกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา คือ การกำหนดประชากรที่ศึกษาอาจเป็นคนหรือสัตว์หรือพืช ชื่อใด กลุ่มใด ประเภทใด อยู่ที่ไหน เมื่อเวลาใด รวมทั้งกำหนด กลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดเหมาะสมเป็นตัวแทนของประชากรที่สนใจศึกษา
2. ตัวแปรที่ศึกษา การศึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์ ส่วนมากมักเป็นการศึกษาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล หรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตั้งแต่ 2 ตัวแปรขึ้นไป การบอกชนิดของ ตัวแปรอย่างถูกต้องและชัดเจน รวมทั้งการควบคุมตัวแปรที่ไม่สนใจศึกษา เป็นทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้ทำโครงงานต้องเข้าใจ ตัวแปรใดที่ศึกษาเป็นตัวแปรต้น ตัวแปรใดที่ศึกษาเป็น ตัวแปรตาม และตัวแปรใดบ้างเป็นตัวแปรที่ต้องควบคุมเพื่อเป็นแนวทางการออกแบบการทดลอง ตลอดจนมีผลต่อการเขียนรายงานการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง สื่อความหมายให้ผู้ฟังและ ผู้อ่านให้เข้าใจตรงกัน
8. วิธีดำเนินการ
วิธีดำเนินการ หมายถึง วิธีการที่ช่วยให้งานบรรลุตามวัตถุประสงค์ของการทำ โครงงาน ตั้งแต่เริ่มเสนอโครงการกระทั่งสิ้นสุดโครงการ ซึ่งประกอบด้วย
1. การกำหนดประชากร กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา
2. การสร้างเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
4. การวิเคราะห์ข้อมูล
ในการเขียนวิธีดำเนินการให้ระบุกิจกรรมที่ต้องทำให้ชัดเจนว่าจะทำอะไรบ้าง เรียงลำดับกิจกรรมก่อนและหลังให้ชัดเจน เพื่อสามารถนำโครงการไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและถูกต้อง
9. ผลที่คาดว่าจะได้รับ
ผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ การคาดหวังถึงผลการดำเนินการตามโครงการ ในการเขียนต้องคาดคะเนเหตุการณ์ว่าเมื่อได้ทำโครงงานวิทยาศาสตร์สิ้นสุดลง ใครเป็นผู้ได้รับประโยชน์อย่างไรและได้รับมากน้อยเพียงใด ผลที่ได้รับสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ศึกษา
10. แผนการกำหนดเวลาปฏิบัติงาน
การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ต้องกำหนดตารางเวลาดำเนินการทุกขั้นตอน เพราะ การทำตารางเวลาจะเป็นประโยชน์ให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นประโยชน์ต่อการติดตามประเมินผลการดำเนินงานแต่ละขั้นตอน จนสิ้นสุดการทำโครงงานนั้น
11. เอกสารอ้างอิง
เอกสารอ้างอิง คือ รายชื่อเอกสารที่นำมาอ้างอิงเพื่อประกอบการทำโครงงาน วิทยาศาสตร์ ตลอดจนการเขียนรายงานการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ควรเขียนตามหลักการ

ประโยคชน์ของผักสีม่ว

เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าการรับประทานผักและผลไม้ดีต่อสุขภาพอย่างมาก เพราะนอกจากจะมีทั้งวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งมีส่วนสำคัญช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายแล้ว ในผักแต่ละชนิดยังมีสีสันที่แตกต่างกันไปชวนให้ยิ่งน่ารับประทานมากขึ้น ซึ่งสีสันสดใสไม่ว่าจะเป็นแดง เขียว ส้ม ม่วงเหล่านี้นี่แหละคือสารอาหารสำคัญในการสร้างภูมิต้านทานโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย ส่วนแต่ละสีจะให้คุณค่าทางอาหารต่อผู้บริโภคอย่างเราๆอย่างไร มาดูกันเลยดีกว่า


โดยตามงานวิจัยของ มาร์ ฟาร์กัวสัน ผู้สนใจทางเคมีวิทยาของพืชได้แยกประโยชน์ของสารสีในผักและผลไม้ไว้ดังนี้


สารสีแดง - ไลโคปีน เป็นเม็ดสีที่ให้สารสีแดงในผัก-ผลไม้จำพวกแตงโม มะเขือเทศ ในขณะที่สารเบต้า-แคโรทีน ให้สีแดงในลูกทับทิม บีทรูทและแคนเบอร์รี่ สารทั้ง 2 ชนิดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหรือแอนตี้อ๊อกซิเดนท์ ที่ทราบกันดีว่าสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในหลายชนิด มะเขือเทศที่สุกแล้วจะให้ไลโคปีนสูงกว่ามะเขือเทศดิบ และการรับประทานไขมันเล็กน้อย อย่างเช่นน้ำมันมะกอก จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนได้ดียิ่งขึ้น

สารสีส้ม - ผักและผลไม้ในสีส้มเช่น มะละกอ แครอท มีสารเบต้า-แคโรทีน ซึ่งมีศักยภาพในการต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นตัวการก่อให้กิดโรคมะเร็ง กระทรวงเกษตรฯของสหรัฐอเมริกาเผยว่า การรับประทานแครอทวันละ 2-3 หัว จะช่วยลดระดับคอเรสเตอรอลในเลือด ส่วนคนที่มีผิวขาวซีด เมื่อทานมะละกอหรือแครอทเป็นประจำ ผิวจะมีสีเหลืองนวลสวยงาม อีกทั้งการทานมะละกอห่ามเป็นเวลา 2 ปี จะช่วยลดการเกิดฝ้าบนใบหน้าให้จางลงได้ โดยที่ไม่ต้องซื้อครีมทาฝ้าให้สิ้นเปลือง


สารสีเหลือง - ลูเทียน คือสารสีเหลืองที่ให้สีสันแก่ข้าวโพด ช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดสี หรือแสงสีของเรติน่าดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุมองไม่เห็น

สารสีเขียว - คลอโรฟิลล์ เป็นสารที่ให้สีเขียวในผักต่างๆที่มีสีเขียวเข้มมากๆ เช่น ตำลึง คะน้า บลอคโคลี่ ชะพลู บัวบกเป็นต้น ผักยิ่งมีสีเขียวมากก็จะมีคลอโรฟิลล์มาก โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อคลอโรฟิลล์ถูกย่อยแล้ว จะมีพลังในการป้องกันมะเร็งมากขึ้น ทั้งยังช่วยขจัดกลิ่นเหม็นต่างๆในตัวคน ซึ่งคุณภาพดีกว่าน้ำหอมที่เราใช้อยู่อีกต่างหาก


สารสีม่วง - สารแอนโทไซยานิน เป็นสารที่อยู่ในพืชสีม่วงเช่น ดอกอัญชัน มะเขือม่วง แบล็คเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ นักวิทยาศาสตร์พบว่าคุณสมบัติของแอนโทไซยานิน จะช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งและยังออกฤทธิ์ในการขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและโรคอัมพาต

สารพัดประโยชน์อย่างนี้นี่เอง ที่มักจะมีคำแนะนำว่าคนเราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และหลากหลายสีสันเข้าไว้ เพราะต่างสีต่างชนิดกันคุณค่าทางอาหารย่อมไม่เหมือนกัน ยิ่งทานหลากสีสันมากก็เท่ากับได้รับสารอาหารที่เป็นภูมิต้านทานโรคเพิ่มมากขึ้น
เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าการรับประทานผักและผลไม้ดีต่อสุขภาพอย่างมาก เพราะนอกจากจะมีทั้งวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งมีส่วนสำคัญช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายแล้ว ในผักแต่ละชนิดยังมีสีสันที่แตกต่างกันไปชวนให้ยิ่งน่ารับประทานมากขึ้น ซึ่งสีสันสดใสไม่ว่าจะเป็นแดง เขียว ส้ม ม่วงเหล่านี้นี่แหละคือสารอาหารสำคัญในการสร้างภูมิต้านทานโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย ส่วนแต่ละสีจะให้คุณค่าทางอาหารต่อผู้บริโภคอย่างเราๆอย่างไร มาดูกันเลยดีกว่า


โดยตามงานวิจัยของ มาร์ ฟาร์กัวสัน ผู้สนใจทางเคมีวิทยาของพืชได้แยกประโยชน์ของสารสีในผักและผลไม้ไว้ดังนี้


สารสีแดง - ไลโคปีน เป็นเม็ดสีที่ให้สารสีแดงในผัก-ผลไม้จำพวกแตงโม มะเขือเทศ ในขณะที่สารเบต้า-แคโรทีน ให้สีแดงในลูกทับทิม บีทรูทและแคนเบอร์รี่ สารทั้ง 2 ชนิดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหรือแอนตี้อ๊อกซิเดนท์ ที่ทราบกันดีว่าสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในหลายชนิด มะเขือเทศที่สุกแล้วจะให้ไลโคปีนสูงกว่ามะเขือเทศดิบ และการรับประทานไขมันเล็กน้อย อย่างเช่นน้ำมันมะกอก จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนได้ดียิ่งขึ้น

สารสีส้ม - ผักและผลไม้ในสีส้มเช่น มะละกอ แครอท มีสารเบต้า-แคโรทีน ซึ่งมีศักยภาพในการต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นตัวการก่อให้กิดโรคมะเร็ง กระทรวงเกษตรฯของสหรัฐอเมริกาเผยว่า การรับประทานแครอทวันละ 2-3 หัว จะช่วยลดระดับคอเรสเตอรอลในเลือด ส่วนคนที่มีผิวขาวซีด เมื่อทานมะละกอหรือแครอทเป็นประจำ ผิวจะมีสีเหลืองนวลสวยงาม อีกทั้งการทานมะละกอห่ามเป็นเวลา 2 ปี จะช่วยลดการเกิดฝ้าบนใบหน้าให้จางลงได้ โดยที่ไม่ต้องซื้อครีมทาฝ้าให้สิ้นเปลือง


สารสีเหลือง - ลูเทียน คือสารสีเหลืองที่ให้สีสันแก่ข้าวโพด ช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดสี หรือแสงสีของเรติน่าดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุมองไม่เห็น

สารสีเขียว - คลอโรฟิลล์ เป็นสารที่ให้สีเขียวในผักต่างๆที่มีสีเขียวเข้มมากๆ เช่น ตำลึง คะน้า บลอคโคลี่ ชะพลู บัวบกเป็นต้น ผักยิ่งมีสีเขียวมากก็จะมีคลอโรฟิลล์มาก โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อคลอโรฟิลล์ถูกย่อยแล้ว จะมีพลังในการป้องกันมะเร็งมากขึ้น ทั้งยังช่วยขจัดกลิ่นเหม็นต่างๆในตัวคน ซึ่งคุณภาพดีกว่าน้ำหอมที่เราใช้อยู่อีกต่างหาก


สารสีม่วง - สารแอนโทไซยานิน เป็นสารที่อยู่ในพืชสีม่วงเช่น ดอกอัญชัน มะเขือม่วง แบล็คเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ นักวิทยาศาสตร์พบว่าคุณสมบัติของแอนโทไซยานิน จะช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งและยังออกฤทธิ์ในการขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและโรคอัมพาต

สารพัดประโยชน์อย่างนี้นี่เอง ที่มักจะมีคำแนะนำว่าคนเราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และหลากหลายสีสันเข้าไว้ เพราะต่างสีต่างชนิดกันคุณค่าทางอาหารย่อมไม่เหมือนกัน ยิ่งทานหลากสีสันมากก็เท่ากับได้รับสารอาหารที่เป็นภูมิต้านทานโรคเพิ่มมากขึ้น
เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าการรับประทานผักและผลไม้ดีต่อสุขภาพอย่างมาก เพราะนอกจากจะมีทั้งวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งมีส่วนสำคัญช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายแล้ว ในผักแต่ละชนิดยังมีสีสันที่แตกต่างกันไปชวนให้ยิ่งน่ารับประทานมากขึ้น ซึ่งสีสันสดใสไม่ว่าจะเป็นแดง เขียว ส้ม ม่วงเหล่านี้นี่แหละคือสารอาหารสำคัญในการสร้างภูมิต้านทานโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย ส่วนแต่ละสีจะให้คุณค่าทางอาหารต่อผู้บริโภคอย่างเราๆอย่างไร มาดูกันเลยดีกว่า


โดยตามงานวิจัยของ มาร์ ฟาร์กัวสัน ผู้สนใจทางเคมีวิทยาของพืชได้แยกประโยชน์ของสารสีในผักและผลไม้ไว้ดังนี้


สารสีแดง - ไลโคปีน เป็นเม็ดสีที่ให้สารสีแดงในผัก-ผลไม้จำพวกแตงโม มะเขือเทศ ในขณะที่สารเบต้า-แคโรทีน ให้สีแดงในลูกทับทิม บีทรูทและแคนเบอร์รี่ สารทั้ง 2 ชนิดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหรือแอนตี้อ๊อกซิเดนท์ ที่ทราบกันดีว่าสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในหลายชนิด มะเขือเทศที่สุกแล้วจะให้ไลโคปีนสูงกว่ามะเขือเทศดิบ และการรับประทานไขมันเล็กน้อย อย่างเช่นน้ำมันมะกอก จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนได้ดียิ่งขึ้น

สารสีส้ม - ผักและผลไม้ในสีส้มเช่น มะละกอ แครอท มีสารเบต้า-แคโรทีน ซึ่งมีศักยภาพในการต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นตัวการก่อให้กิดโรคมะเร็ง กระทรวงเกษตรฯของสหรัฐอเมริกาเผยว่า การรับประทานแครอทวันละ 2-3 หัว จะช่วยลดระดับคอเรสเตอรอลในเลือด ส่วนคนที่มีผิวขาวซีด เมื่อทานมะละกอหรือแครอทเป็นประจำ ผิวจะมีสีเหลืองนวลสวยงาม อีกทั้งการทานมะละกอห่ามเป็นเวลา 2 ปี จะช่วยลดการเกิดฝ้าบนใบหน้าให้จางลงได้ โดยที่ไม่ต้องซื้อครีมทาฝ้าให้สิ้นเปลือง


สารสีเหลือง - ลูเทียน คือสารสีเหลืองที่ให้สีสันแก่ข้าวโพด ช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดสี หรือแสงสีของเรติน่าดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุมองไม่เห็น

สารสีเขียว - คลอโรฟิลล์ เป็นสารที่ให้สีเขียวในผักต่างๆที่มีสีเขียวเข้มมากๆ เช่น ตำลึง คะน้า บลอคโคลี่ ชะพลู บัวบกเป็นต้น ผักยิ่งมีสีเขียวมากก็จะมีคลอโรฟิลล์มาก โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อคลอโรฟิลล์ถูกย่อยแล้ว จะมีพลังในการป้องกันมะเร็งมากขึ้น ทั้งยังช่วยขจัดกลิ่นเหม็นต่างๆในตัวคน ซึ่งคุณภาพดีกว่าน้ำหอมที่เราใช้อยู่อีกต่างหาก


สารสีม่วง - สารแอนโทไซยานิน เป็นสารที่อยู่ในพืชสีม่วงเช่น ดอกอัญชัน มะเขือม่วง แบล็คเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ นักวิทยาศาสตร์พบว่าคุณสมบัติของแอนโทไซยานิน จะช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งและยังออกฤทธิ์ในการขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและโรคอัมพาต

สารพัดประโยชน์อย่างนี้นี่เอง ที่มักจะมีคำแนะนำว่าคนเราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และหลากหลายสีสันเข้าไว้ เพราะต่างสีต่างชนิดกันคุณค่าทางอาหารย่อมไม่เหมือนกัน ยิ่งทานหลากสีสันมากก็เท่ากับได้รับสารอาหารที่เป็นภูมิต้านทานโรคเพิ่มมากขึ้น เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าการรับประทานผักและผลไม้ดีต่อสุขภาพอย่างมาก เพราะนอกจากจะมีทั้งวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งมีส่วนสำคัญช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายแล้ว ในผักแต่ละชนิดยังมีสีสันที่แตกต่างกันไปชวนให้ยิ่งน่ารับประทานมากขึ้น ซึ่งสีสันสดใสไม่ว่าจะเป็นแดง เขียว ส้ม ม่วงเหล่านี้นี่แหละคือสารอาหารสำคัญในการสร้างภูมิต้านทานโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย ส่วนแต่ละสีจะให้คุณค่าทางอาหารต่อผู้บริโภคอย่างเราๆอย่างไร มาดูกันเลยดีกว่า


โดยตามงานวิจัยของ มาร์ ฟาร์กัวสัน ผู้สนใจทางเคมีวิทยาของพืชได้แยกประโยชน์ของสารสีในผักและผลไม้ไว้ดังนี้


สารสีแดง - ไลโคปีน เป็นเม็ดสีที่ให้สารสีแดงในผัก-ผลไม้จำพวกแตงโม มะเขือเทศ ในขณะที่สารเบต้า-แคโรทีน ให้สีแดงในลูกทับทิม บีทรูทและแคนเบอร์รี่ สารทั้ง 2 ชนิดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหรือแอนตี้อ๊อกซิเดนท์ ที่ทราบกันดีว่าสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในหลายชนิด มะเขือเทศที่สุกแล้วจะให้ไลโคปีนสูงกว่ามะเขือเทศดิบ และการรับประทานไขมันเล็กน้อย อย่างเช่นน้ำมันมะกอก จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนได้ดียิ่งขึ้น

สารสีส้ม - ผักและผลไม้ในสีส้มเช่น มะละกอ แครอท มีสารเบต้า-แคโรทีน ซึ่งมีศักยภาพในการต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นตัวการก่อให้กิดโรคมะเร็ง กระทรวงเกษตรฯของสหรัฐอเมริกาเผยว่า การรับประทานแครอทวันละ 2-3 หัว จะช่วยลดระดับคอเรสเตอรอลในเลือด ส่วนคนที่มีผิวขาวซีด เมื่อทานมะละกอหรือแครอทเป็นประจำ ผิวจะมีสีเหลืองนวลสวยงาม อีกทั้งการทานมะละกอห่ามเป็นเวลา 2 ปี จะช่วยลดการเกิดฝ้าบนใบหน้าให้จางลงได้ โดยที่ไม่ต้องซื้อครีมทาฝ้าให้สิ้นเปลือง


สารสีเหลือง - ลูเทียน คือสารสีเหลืองที่ให้สีสันแก่ข้าวโพด ช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดสี หรือแสงสีของเรติน่าดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุมองไม่เห็น

สารสีเขียว - คลอโรฟิลล์ เป็นสารที่ให้สีเขียวในผักต่างๆที่มีสีเขียวเข้มมากๆ เช่น ตำลึง คะน้า บลอคโคลี่ ชะพลู บัวบกเป็นต้น ผักยิ่งมีสีเขียวมากก็จะมีคลอโรฟิลล์มาก โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อคลอโรฟิลล์ถูกย่อยแล้ว จะมีพลังในการป้องกันมะเร็งมากขึ้น ทั้งยังช่วยขจัดกลิ่นเหม็นต่างๆในตัวคน ซึ่งคุณภาพดีกว่าน้ำหอมที่เราใช้อยู่อีกต่างหาก


สารสีม่วง - สารแอนโทไซยานิน เป็นสารที่อยู่ในพืชสีม่วงเช่น ดอกอัญชัน มะเขือม่วง แบล็คเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ นักวิทยาศาสตร์พบว่าคุณสมบัติของแอนโทไซยานิน จะช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งและยังออกฤทธิ์ในการขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและโรคอัมพาต

สารพัดประโยชน์อย่างนี้นี่เอง ที่มักจะมีคำแนะนำว่าคนเราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และหลากหลายสีสันเข้าไว้ เพราะต่างสีต่างชนิดกันคุณค่าทางอาหารย่อมไม่เหมือนกัน ยิ่งทานหลากสีสันมากก็เท่ากับได้รับสารอาหารที่เป็นภูมิต้านทานโรคเพิ่มมากขึ้น
เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าการรับประทานผักและผลไม้ดีต่อสุขภาพอย่างมาก เพราะนอกจากจะมีทั้งวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งมีส่วนสำคัญช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายแล้ว ในผักแต่ละชนิดยังมีสีสันที่แตกต่างกันไปชวนให้ยิ่งน่ารับประทานมากขึ้น ซึ่งสีสันสดใสไม่ว่าจะเป็นแดง เขียว ส้ม ม่วงเหล่านี้นี่แหละคือสารอาหารสำคัญในการสร้างภูมิต้านทานโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย ส่วนแต่ละสีจะให้คุณค่าทางอาหารต่อผู้บริโภคอย่างเราๆอย่างไร มาดูกันเลยดีกว่า


โดยตามงานวิจัยของ มาร์ ฟาร์กัวสัน ผู้สนใจทางเคมีวิทยาของพืชได้แยกประโยชน์ของสารสีในผักและผลไม้ไว้ดังนี้


สารสีแดง - ไลโคปีน เป็นเม็ดสีที่ให้สารสีแดงในผัก-ผลไม้จำพวกแตงโม มะเขือเทศ ในขณะที่สารเบต้า-แคโรทีน ให้สีแดงในลูกทับทิม บีทรูทและแคนเบอร์รี่ สารทั้ง 2 ชนิดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหรือแอนตี้อ๊อกซิเดนท์ ที่ทราบกันดีว่าสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในหลายชนิด มะเขือเทศที่สุกแล้วจะให้ไลโคปีนสูงกว่ามะเขือเทศดิบ และการรับประทานไขมันเล็กน้อย อย่างเช่นน้ำมันมะกอก จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนได้ดียิ่งขึ้น

สารสีส้ม - ผักและผลไม้ในสีส้มเช่น มะละกอ แครอท มีสารเบต้า-แคโรทีน ซึ่งมีศักยภาพในการต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นตัวการก่อให้กิดโรคมะเร็ง กระทรวงเกษตรฯของสหรัฐอเมริกาเผยว่า การรับประทานแครอทวันละ 2-3 หัว จะช่วยลดระดับคอเรสเตอรอลในเลือด ส่วนคนที่มีผิวขาวซีด เมื่อทานมะละกอหรือแครอทเป็นประจำ ผิวจะมีสีเหลืองนวลสวยงาม อีกทั้งการทานมะละกอห่ามเป็นเวลา 2 ปี จะช่วยลดการเกิดฝ้าบนใบหน้าให้จางลงได้ โดยที่ไม่ต้องซื้อครีมทาฝ้าให้สิ้นเปลือง


สารสีเหลือง - ลูเทียน คือสารสีเหลืองที่ให้สีสันแก่ข้าวโพด ช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดสี หรือแสงสีของเรติน่าดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุมองไม่เห็น

สารสีเขียว - คลอโรฟิลล์ เป็นสารที่ให้สีเขียวในผักต่างๆที่มีสีเขียวเข้มมากๆ เช่น ตำลึง คะน้า บลอคโคลี่ ชะพลู บัวบกเป็นต้น ผักยิ่งมีสีเขียวมากก็จะมีคลอโรฟิลล์มาก โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อคลอโรฟิลล์ถูกย่อยแล้ว จะมีพลังในการป้องกันมะเร็งมากขึ้น ทั้งยังช่วยขจัดกลิ่นเหม็นต่างๆในตัวคน ซึ่งคุณภาพดีกว่าน้ำหอมที่เราใช้อยู่อีกต่างหาก


สารสีม่วง - สารแอนโทไซยานิน เป็นสารที่อยู่ในพืชสีม่วงเช่น ดอกอัญชัน มะเขือม่วง แบล็คเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ นักวิทยาศาสตร์พบว่าคุณสมบัติของแอนโทไซยานิน จะช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งและยังออกฤทธิ์ในการขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและโรคอัมพาต

สารพัดประโยชน์อย่างนี้นี่เอง ที่มักจะมีคำแนะนำว่าคนเราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และหลากหลายสีสันเข้าไว้ เพราะต่างสีต่างชนิดกันคุณค่าทางอาหารย่อมไม่เหมือนกัน ยิ่งทานหลากสีสันมากก็เท่ากับได้รับสารอาหารที่เป็นภูมิต้านทานโรคเพิ่มมากขึ้น


เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าการรับประทานผักและผลไม้ดีต่อสุขภาพอย่างมาก เพราะนอกจากจะมีทั้งวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งมีส่วนสำคัญช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายแล้ว ในผักแต่ละชนิดยังมีสีสันที่แตกต่างกันไปชวนให้ยิ่งน่ารับประทานมากขึ้น ซึ่งสีสันสดใสไม่ว่าจะเป็นแดง เขียว ส้ม ม่วงเหล่านี้นี่แหละคือสารอาหารสำคัญในการสร้างภูมิต้านทานโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย ส่วนแต่ละสีจะให้คุณค่าทางอาหารต่อผู้บริโภคอย่างเราๆอย่างไร มาดูกันเลยดีกว่า

ประโยคชน์ของพริก

ในฉบับนี้ ขอนำเสนออาหารยอดนิยมของคนไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน เพลงยอดนิยมในอดีตยังเอาชื่อของเมนูอาหารชนิดนี้ไปแต่งเป็นเนื้อร้องของเพลงฮิตติดอันดับเลยทีเดียว คงจำกันได้ดีถึงประโยค ที่ว่า "กินข้าวกับน้ำพริก ซิจ๊ะ ถึงได้สะได้สวย"

มื้อนี้ประกอบด้วยข้าวสวย ๑ จาน ประมาณ ๒ ทัพพี (น้ำหนัก ๒ ขีด) น้ำพริกกะปิประมาณ ๕ ช้อนโต๊ะ ปลาทูทอด ๑ ตัว และผักเครื่องเคียงประกอบด้วยแตงกวา มะเขือเปราะ ผักลวก ๓ ชนิด มีถั่วฝักยาว ดอกแค ผักบุ้งไทยต้นขาว และชะอมชุบไข่ทอด รวมปริมาณผัก ทั้งหมด ๑๒๐ กรัม หรือประมาณ ๑ ขีดเศษ ทั้งหมดมีน้ำหนักโดยรวม ๓๖๐ กรัม หรือ ๓ ขีดครึ่ง ซึ่งเป็น อาหารที่กินอิ่มได้หนึ่งมื้อสบายๆ

การกินข้าวสวยกับน้ำพริกกะปิ ปลาทูทอด และผักสด ผักลวกเครื่อง เคียง เดี๋ยวนี้จัดว่าเป็นอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ เป็นตัวอย่างของมื้ออาหารที่มีอาหารครบ ๕ หมู่ นอกจากนี้ข้อดีของเมนูนี้คือ ความหลากหลายของชนิดอาหารตั้งแต่ ผักเครื่องเคียงมีถึง ๕-๖ ชนิดด้วยกัน ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าทำกินเองที่บ้าน ท่านก็ยังเพิ่มชนิดของผักกินเป็นเครื่องเคียงได้มากกว่านี้อีก เช่น กะหล่ำปลีลวก ถั่วพู ขมิ้นขาว ผักกระเฉดลวกหรือสด ผักกาดขาวสด แต่ข้อสำคัญของการกินผักสดนั้น คือ ควรล้างให้สะอาดเพื่อให้ปราศจากเชื้อโรคและสารตกค้างจำนวนมาก เช่น ยาฆ่าแมลง เป็นต้น

คุณค่าโภชนาการที่เราจะได้จากการกินอาหารมื้อนี้คือพลังงานจะ ได้ ๔๘๐ กิโลแคลอรี ซึ่งเหมาะสม ในการเป็นอาหาร ๑ มื้อ มีโปรตีน ๑๙.๘ กรัม คิดเป็นร้อยละ ๔๐ ของ ปริมาณโปรตีนที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน จัดเป็นอาหารโปรตีนสูง ซึ่งได้จากปลาทูและน้ำพริกกะปิ จะมีกุ้งแห้งป่นและกะปิ ส่วนไขมันนั้นมีประมาณ ๙.๘ กรัม คิดเป็นร้อยละ ๑๕ ของปริมาณไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน เมนูนี้จึงเป็นอาหาร ไขมันต่ำ สำหรับใยอาหารที่ได้จากอาหารนี้ค่อนข้างดี คือปริมาณ ๕ กรัม ปริมาณโคเลสเตอรอลที่มีอยู่ในอาหาร ๙๕ มิลลิกรัม จัดว่ามีปริมาณปานกลาง ส่วนใหญ่จะมาจาก กุ้งแห้ง กะปิ และปลาทู อย่างไร ก็ตาม ปริมาณโคเลสเตอรอลในอาหารนี้ก็เป็นเพียงร้อยละ ๓๐ ของ ข้อแนะนำที่ให้บริโภค โคเลสเตอ-รอลไม่เกิน ๓๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน

แร่ธาตุที่มีอยู่ในอาหารมื้อนี้ มีโซเดียมค่อนข้างสูง คือ ๑,๐๙๔ มิลลิกรัม ในวันหนึ่งๆ เราควรได้ รับแร่ธาตุโซเดียมไม่เกิน ๒,๔๐๐ มิลลิกรัม ซึ่งปริมาณนี้คิดเป็นร้อยละ ๔๕ ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวันแล้ว ดังนั้น อาหารในมื้อ อื่นๆ ต้องเลี่ยงอาหารรสเค็มหรือ รสจัด ส่วนแร่ธาตุแคลเซียมที่มีอยู่ในอาหาร ๑๖๙ มิลลิกรัม ก็จัดว่ามีอยู่ในปริมาณปานกลางไปถึงน้อย คิดเป็นร้อยละ ๒๐ ของปริมาณแคลเซียมที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน สำหรับธาตุเหล็กที่มีอยู่ในอาหารมื้อนี้เพียง ๓.๑ มิลลิกรัม จัดว่ามีธาตุเหล็กน้อย คิดเป็นร้อยละ ๒๐ ของ ปริมาณที่แนะนำให้บริโภคประจำวัน คือ ๑๕ มิลลิกรัม

โดยสรุปข้าวสวยกินกับน้ำพริก ปลาทู และผักเครื่องเคียงที่กล่าวมาข้างต้น เป็นรูปแบบของมื้ออาหารที่ค่อนข้างสมบูรณ์ถูกหลักโภชนาการ ถึงแม้ว่าน้ำพริกกะปิจะมีปริมาณโซเดียมมาก แต่ถ้ามื้ออื่นๆ ในวันนั้น ไม่กินอาหารเค็มจัดหรือรสจัดก็คงจะ ไม่ได้โซเดียมมากเกิน ความสำคัญ ของอาหารเมนูนี้คือ ความหลากหลาย ของส่วนประกอบทั้งหมด ไม่ว่าจากน้ำพริกกะปิ ซึ่งมีพริกขี้หนู กระเทียม มะเขือพวง ผักเครื่องเคียง โปรตีนและไขมันที่ดีจากปลาทู

ประโยชน์ของขนุน

ขนุนเป็นหอม, ผลไม้อ้วนชื่อเสียงในด้านรสชาติแสนอร่อยของมัน แบบฟอร์มดิบสามารถนำไปใช้ในการเตรียมอาหารปาก - smacking, และวัตถุที่สุกจึงฉ่ำและอร่อยที่คุณยังสามารถกินพวกมันดิบทั้งเดี่ยวหรือเป็นส่วนหนึ่งของสลัดผลไม้! นอกจากนี้ยังเป็นความคิดที่ดีที่จะใช้ผลไม้สุกเป็นของหวานราดหน้า


เขตร้อนชื้นสภาพภูมิอากาศสนับสนุนการเจริญเติบโตของไม้ขนุนและประเทศซึ่งจะมีการปลูกอยู่ทั่วไปเป็นอินเดียอินโดนีเซียมาเลเซียและประเทศไทย ต้นไม้ที่สามารถเติบโตได้สูงเกือบ 30 เมตรสามารถทนได้มากถึง 250 ผลไม้ น้ำหนักของผลไม้หนึ่งแตกต่างกันจาก 3 กก. ถึง 30 กก. พื้นผิวด้านนอกมีหนามหมีประมาณการที่นุ่มเป็นผลไม้ ripens ภายในภายนอกเต็มไปด้วยหนามเป็นฝักหรือ"หลอดไฟ"มักจะเรียกว่าเป็นเมล็ด เมล็ดจริงจะกลมและเม็ดเกาลัดสีดำเหมือนที่พบอยู่ภายในฝัก ส่วนอ้วน ("หลอดไฟ") สามารถรับประทานได้ตามที่เห็นหรือตัดขึ้นและสุก

ขนุนมีวิตามินเอวิตามินซี, วิตามินบี, riboflavin, ไนอาซิน, แคลเซียม, โปแตสเซีเหล็กและ magneisum ของสารอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย บางส่วนของประโยชน์ต่อสุขภาพของขนุนรวมถึง :

เพื่อให้แน่ใจว่าดีกว่าระบบทางเดินอาหารสุขภาพ : Jackfruits ที่ดีสำหรับการย่อยอาหารและเป็นที่รู้จักกันเพื่อช่วยรักษาแผลและอาหารไม่ย่อย นอกจากนี้ปัจจุบันเส้นใยสูงในผลไม้ช่วยป้องกันอาการท้องผูกและช่วยในการราบรื่นและปกติการเคลื่อนไหวของลำไส้ ใยยังมีการป้องกันเพื่อเยื่อเมือกของลำไส้ใหญ่โดยการขับรถออกไปสารเคมี (ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง) สารก่อมะเร็งจากลำไส้ใหญ่
แข็งแรงระบบภูมิคุ้มกัน : ขนุนเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซี, สารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพที่สามารถช่วยป้องกันหวัดและการติดเชื้อ วิตามินซีช่วยในการทำงานที่เหมาะสมของระบบภูมิคุ้มกันโดยการสนับสนุนการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
การป้องกันโรคมะเร็ง : นอกเหนือจากที่มีวิตามินซี (สารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ), jackfruits นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยคุณสมบัติคล้าย phytonutrients ชอบ lignans และ saponins ที่ให้การป้องกันกับโรคมะเร็ง phytonutrients เหล่านี้สามารถช่วยกำจัดโรคมะเร็งที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระจากร่างกายและชะลอความเสื่อมของเซลล์ที่สามารถนำไปสู่โรคความเสื่อม
ลดความดันโลหิตระดับ : ขนุนเป็นแหล่งอุดมไปด้วยโพแทสเซียมที่มีประมาณ 300 มิลลิกรัมใน 100 กรัมขนุน โพแทสเซียมมีความสำคัญต่อร่างกายเนื่องจากจะช่วยให้ของเหลวในร่างกายและความสมดุลอิเล็กโทรในเซลล์ของร่างกายและช่วยในการควบคุมความดันโลหิตซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและจังหวะ
โรคเอดส์ในวิสัยทัศน์ : ผลไม้มีวิตามิน, สารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับการมองเห็นเช่นกัน วิตามินเอเป็นที่รู้จักกันในการดูแลรักษาสุขภาพของผิวหนังและเยื่อเมือกและสำหรับการส่งเสริมขึ้นทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
เพิ่มพลังงาน : ขนุนอาจถือได้ว่าเป็นผลไม้ที่สร้างพลังงานอันเนื่องจากการแสดงตนของน้ำตาลง่ายๆเช่นฟรุกโตสและซูโครส รับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยเนื้อจะทำให้คุณรู้สึก revitalized เกือบจะทันที
ผลประโยชน์อื่น ๆ : ผลไม้นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุเช่นเหล็กแมงกานีสและแมกนีเซียม เหล็กป้องกันโรคโลหิตจางในขณะที่แมงกานีสรวมทั้งแมกนีเซียมมีความจำเป็นสำหรับสุขภาพของกระดูก แมกนีเซียมมีความสำคัญในการดูดซึมของแคลเซียมและทำงานร่วมกับแคลเซียมเพื่อช่วยให้กระดูกยังคงแข็งแกร่งและป้องกันความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับกระดูก แมงกานีสเป็นสิ่งจำเป็นในร่างกายในการสร้างกระดูกและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ขนุนยังมีจำนวนมากเช่นวิตามิน B - riboflavin, วิตามินบี 6, กรดโฟลิคและไนอาซิน ไนอะซินเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาผิวที่ดีและระบบประสาทและวิตามินบี 6 ช่วยลดระดับ homocystein ในเลือด (ยกระดับของ homocysteine มีความเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือด)
ขนุนเป็นผลไม้ต้นไม้ - borne ใหญ่ที่สุดในโลก คุณสามารถพิจารณาการเพิ่มไม่กี่ชิ้นในเมนูอาหารเช้าของคุณ ข้าวโอ๊ตแช่อยู่ในนมไขมันต่ำและสลัดผลไม้ประกอบด้วยผลไม้อร่อยจะช่วยให้คุณสามารถกินอาหารที่บรรจุไฟ! มันจะทำให้คุณไปทั้งวัน!

สำคัญ : นี่เป็นเครื่องที่หน้าแปลให้"ตามสภาพ"โดยไม่มีการรับประกัน เครื่องแปลภาษาอาจจะยากที่จะเข้าใจ โปรดอ้างอิงถึงต้นฉบับ บทความภาษาอังกฤษ เมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้

Tags: Benefits, Health, Jackfruit, Fruit, Nutrition, Wellness

ประโยชน์ของกล้วย

ประโยชน์ของกล้วย

เราคงจะไม่ปฏิเสธว่า "กล้วย" เกี่ยวข้องและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยนับตั้งแต่เกิดจนกระทั่ง สิ้นอายุขัย...

ในสมัยโบราณ เมื่อสตรีจะคลอดบุตรมักจะมีการจัดเครื่องบูชาสำหรับหมอตำแยเพื่อทำพิธีกรรมที่เป็น มงคลแก่แม่ และลูกที่จะคลอดออกมา เครื่องบูชามักจะประกอบด้วย ขันข้าว ซึ่งบรรจุด้วยข้าวสาร เงิน และสิ่งของต่าง ๆ ได้แก่ หมาก พลู ธูป เทียน และในจำนวนนี้จะต้องมีกล้วยอยู่เสมอ

เมื่อทารกอายุได้ประมาณ 3 เดือน และพร้อมที่จะรับประทานอาหารอื่นนอกจากนมแม่ได้แล้ว แม่จะเริ่มให้ลูกรับประทานกล้วยควบคู่กับนม เพราะเห็นว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย

เมื่อลูกโตขึ้น แม่ก็จะพยายามประดิษฐ์ของเล่นให้ลูก ของเล่นเหล่านั้นส่วนหนึ่งก็มาจากกล้วย เป็นต้นว่า

นำก้านกล้วยมาทำเป็นปืนเด็กเล่น

นำก้านกล้วยมาทำเป็นม้าสำหรับขี่

นำใบตองมาม้วนทำเป็นปี่สำหรับเป่า

นำหยวกกล้วยมาทำเป็นทุ่น หรือแพ สำหรับหัดว่ายน้ำ

ในวัยศึกษาเล่าเรียน กล้วย ก็เข้ามาสู่ห้องเรียนในลักษณะต่าง ๆ เช่น

ผูกเป็นปริศนาให้ทาย เช่น "อะไรเอ่ย ต้นเท่าขา ใบวาเดียว"

ใช้เปรียบเทียบกับความงามของสุภาพสตรีในวรรณคดี เช่น "เรื่องกามนิต-วาสิฏฐี ที่ว่า ขาเธองามดุจลำกล้วย"

ใช้ในคำพังเพยเปรียบเทียบการทำลายล้างเผ่าพันธุ์อย่างถอนรากถอนโคลน "โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก"

ใช้ในสำนวนหรือคำพังเพยแสดงความหมายว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ เช่น ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก เรื่องกล้วย ๆ กล้วยมาก

ตลอดช่วงชีวิตมนุษย์ สามารถใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของกล้วย เช่น ใช้เป็นอาหารคาว หวาน ใช้ประดิษฐ์เป็ฯของใช้ ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรค

ในงานบวช และงานมงคลต่าง ๆ กล้วย มักจะถุนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของงานในลักษณะต่าง ๆ เสมอ เช่น

ใบตองกล้วย ถูกนำมาใช้ประดิษฐ์เป็นบายศรีเป็นส่วนประกอบ ของพวงมาลัย

ก้านกล้วย และใบตอง นำมาใช้เป็นกระทง

กล้วยทั้งเครือ นำมาประดับบ้าน เวลามีงานมงคล

เมื่อถึงคราวที่หนุ่ม สาวจะเข้าสู่พิธีแต่งงานกล้วยจะเป็นพืชชนิดหนึ่ง ที่มักจะนำมาใช้ เป็นส่วนประกอบของงานเสมอ เช่น

ใช้ต้นกล้วยเป็นส่วนประกอบในขบวนแห่ขันหมาก

ใช้ผลกล้วย ใบกล้วย ก้าน และหยวกกล้วย เป็นส่วนประกอบในการประกอบพิธีการต่าง ๆ

ในการปลูกสร้างบ้านเรือนกล้วยจะเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำพิธียกเสาเอกลงหลุมโดยเขามัก จะใช้หน่อกล้วยและต้นอ้อยผูกไว้ที่ปลายเสาเอกและเมื่อทำพิธียกเสาลงหลุมเสร็จก็จะปลดเอาหน่อกล้วย และต้นอ้อย ไปปลูกไว้ในบริเวณใกล้บ้าน พยายามประคับประคองให้เจริญงอกงามเพราะถือว่าเป็น เครื่องเสี่ยงทายความอุดมสมบูรณ์ของเจ้าของบ้าน

จวบจนกระทั่ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต มนุาย์เราก็ยังเกกี่ยวข้องกับกล้วยอย่างมิเสื่อมคลาย ในสมัยก่อน เขามักใช้ใบตองมารองศพ ใช้ต้นกล้วยมาสลักหยวก(แทงหยวก) ประดิษฐ์ในเมรุ หรือโลงศพ ใช้ต้นกล้วย ใบตอง ทำฐานเสียบดอกไม้ประดับในงานศพ "กล้วยเจ้าเอ๋ย...เจ้ามิเคยห่างหายไปจากข้าเราผูกพันกับเจ้า ตลอดมา และตัวข้าจะลืมเจ้าได้ฉันใดเล่าเพื่อนเอย"

ประโยชน์ของผักสีเขียว

ประโยชน์ของผักสีเขียว

ประโยชน์ของผักสีเขียว

คลอโรฟิลล์ คือ
โลหิตของพืช มีแร่ธาตุธรรมชาติมากมายประกอบไปด้วยสาร ต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน โปรตีน และสารอาหารต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายปรับความเป็นกรดเป็นด่างในร่างกายของเรา มนุษย์ควรบริโภคคลอโรฟิลล์มาก ๆ เพื่อมาเสริมฮีโมโกบิลในเม็ดเลือด คลอโรฟิลล์ เป็นสารสีเขียวที่สกัดจากต้นอัลฟัลฟ่า (Alfalfa
ประโยชน์ คือ
ช่วยในการชำระล้าง ขจัดสารพิษ และสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย / รักษาสมดุล/ บำรุงรักษา คือเพิ่มปริมาณออกซิเจนและเม็ดเลือดแดง ช่วยเสริมบำรุงสุขภาพได้ดีขึ้น
• 1.ระบบเลือด บำรุงเลือด ล้างพิษ ทำลายอนุมูลอิสระ ในเม็ดเลือด แก้โรคโลหิตจาง และลดความดันโลหิตสูง แต่ไม่มีอันตรายกับผู้ที่มีความดันเลือด ปกติ
• 2.ระบบทางเดินอาหาร คลอโรฟิลล์ล้างพิษโดยตรงในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก สมานแผลในกระเพาะอาการกระตุ้นเนื้อเยื่อให้ฟื้นตัว
• 3.บำรุงปาก ฟัน ระงับกลิ่นปาก โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการโรค เหงือก อักเสบ
• 4. รักษาแผลต่าง ๆ คลอโรฟิลล์ทำหน้าที่ ฟื้นฟู เนื้อเยื่อ ของแผลทุกชนิดทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ทั้งแผลเรื้อรัง แผลเป็นหนอง แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลหายช้าหรือหายยากเช่นโรคเบาหวาน
• 5. ระงับกลิ่น กลิ่นเหม็นจากแผลเรื้อรัง หรือโรคแผลในช่องปาก จะหมดไปทันทีที่แผลสัมผัสกับคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ กลิ่นอุจจาระที่รุนแรง การผายลม หรือกลิ่นตัวที่มีกลิ่นแรงมาก การดื่มคลอโรฟิลล์จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้
• 6. ควบคุมสมดุลของแคลเซียม ใครที่บริโภคเนื้อมากเกินไป จะขาดความสมดุลของธาตุแคลเซียม จะทำให้ป่วยเป็นโรคหลายชนิด ตั้งแต่โรคกระดูกผุ โรคหัวใจ โรคกล้ามเนื้อ โรคผิวหนัง โรคเลือดไม่แข็งตัวเมื่อมีบาดแผล ประจำเดือนผิดปกติ คลอโรฟิลล์จะช่วยควบคุมสมดุลของแคลเซียมในร่างกายได้ดี
• 7. ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ เกิดจากการที่อากาศและอาหารเป็นพิษ โดยการสะสมติดต่อกันเป็นระยะ เวลานาน ทุกวันนี้จึงเจ็บป่วยกันบ่อยด้วยโรคหวัด น้ำมูกไหล เจ็บคอ ช่องหูอักเสบ ท้องเสีย ท้องผูกบ่อย ฯลฯ

ประโยชน์ของมะเขือ

เป็นพืชล้มลุกอายุเพียง 1 ปี ลำต้นตั้งตรง มีลักษณะเป็นพุ่ม มีขนอ่อน ๆ ขอบใบเป็นหยักลึกคล้ายฟันเลื่อย มีผลเป็นผลเดี่ยว มะเขือเทศจะมีสารจำพวก แคโรทีนอยด์ เป็นพืชชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร วิตามินซี วิตามินเอ โปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามิน บี1 บี2 วิตามินเค

คุณประโยชน์
ช่วยคงความสดชื่นให้ผิวหน้าด้วยการใช้ผลสุกพอกหน้าจะทำให้ผิวหน้าเต่งตึงอ่อนนุ่ม และมะเขือเทศยังช่วยรักษาสิว ได้อีกด้วย
สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ช่วยเป็นยารักษาโรคผิวหนัง โดยใช้ใบตำให้ละเอียดทาบริเวณที่เป็น
ผลมีรสเปรี้ยว เสริมวิตามินซี เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยดับกระหาย ช่วยให้กระเพาะอาหาร ลำไส้ ไต ให้ทำงานได้ดีขึ้น และยังสามารถต้านอนุมูลอิสระ ขับสารพิษจากร่างกาย และเหมาะที่จะเป็นอาหารสำหรับคนเป็นโรคนิ่ว วัณโรค ไทฟอยด์ หูอักเสบ และเหยื่อตาอักเสบ โดยรับประทานผลสด ผู้ที่รับประทานมะเขือเทศเป็นประจำ จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้
ช่วยแก้อาการปวดฟัน โดยนำราก ลำต้น และใบแก่ต้มกับน้ำรับประทาน

ประโยคช์ของมะม่วง

คุณค่าของมะม่วง

มะม่วง เป็นผลไม้ที่ทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก
ซึ่งคุณค่าทางโภชนาการของมะม่วงนั้นมีมากมาย ดังนี้

-ไฟเบอร์ ช่วยในการย่อยอาหาร และเผาผลาญพลังงาน

-วิตามินเอ ซี และอี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

-โปแตสเซียม และทองแดง ช่วยให้ร่างกาย
ทำงานเป็นปกติ ปรับสมดุลภายใน

-สารฟลาโวนอยด์ กำจัดไขมันในเลือดได้

-สารไตรเทอปีน ต้านการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก
และมะเร็งผิวหนัง

-กรดอะมิโนทริปโตเแฟน ช่วยให้ร่างการหลั่งฮอร์โมน
โนเซโรโทนิน ทำให้ผ่อนคลาย และหลับสบาย

ประโยคช์ของคอมพิวเตอรื

จากการที่คอมพิวเตอร์มีลักษณะเด่นหลายประการ ทำให้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตประจำวันในสังคมเป็นอย่างมาก ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือ การใช้ในการพิมพ์เอกสารต่างๆ เช่น พิมพ์จดหมาย รายงาน เอกสารต่างๆ ซึ่งเรียกว่างานประมวลผล ( word processing ) นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ในด้านต่างๆ อีกหลายด้าน ดังต่อไปนี้

งานธุรกิจ เช่น บริษัท ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนโรงงานต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำบัญชี งานประมวลคำ และติดต่อกับหน่วยงานภายนอกผ่านระบบโทรคมนาคม นอกจากนี้งานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่ก็ใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคุมการผลิต และการประกอบชิ้นส่วนของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ ซึ่งทำให้การผลิตมีคุณภาพดีขึ้นบริษัทยังสามารถรับ หรืองานธนาคาร ที่ให้บริการถอนเงินผ่านตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ ( ATM ) และใช้คอมพิวเตอร์คิดดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงิน และการโอนเงินระหว่างบัญชี เชื่อมโยงกันเป็นระบบเครือข่าย
งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุข สามารถนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในนำมาใช้ในส่วนของการคำนวณที่ค่อนข้างซับซ้อน เช่น งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการส่งจรวดไปสู่อวกาศ หรืองานทะเบียน การเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สำหรับการตรวจรักษาโรคได้ ซึ่งจะให้ผลที่แม่นยำกว่าการตรวจด้วยวิธีเคมีแบบเดิม และให้การรักษาได้รวดเร็วขึ้น
งานคมนาคมและสื่อสาร ในส่วนที่เกี่ยวกับการเดินทาง จะใช้คอมพิวเตอร์ในการจองวันเวลา ที่นั่ง ซึ่งมีการเชื่อมโยงไปยังทุกสถานีหรือทุกสายการบินได้ ทำให้สะดวกต่อผู้เดินทางที่ไม่ต้องเสียเวลารอ อีกทั้งยังใช้ในการควบคุมระบบการจราจร เช่น ไฟสัญญาณจราจร และ การจราจรทางอากาศ หรือในการสื่อสารก็ใช้ควบคุมวงโคจรของดาวเทียมเพื่อให้อยู่ในวงโคจร ซึ่งจะช่วยส่งผลต่อการส่งสัญญาณให้ระบบการสื่อสารมีความชัดเจน
งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบ หรือ จำลองสภาวการณ์ ต่างๆ เช่น การรับแรงสั่นสะเทือนของอาคารเมื่อเกิดแผ่นดินไหว โดยคอมพิวเตอร์จะคำนวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจริง รวมทั้งการใช้ควบคุมและติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ เช่น คนงาน เครื่องมือ ผลการทำงาน
งานราชการ เป็นหน่วยงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุด โดยมีการใช้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบทบาทและหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ มีการใช้ระบบประชุมทางไกลผ่านคอมพิวเตอร์ , กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเชื่อมโยงไปยังสถาบันต่างๆ , กรมสรรพากร ใช้จัดในการจัดเก็บภาษี บันทึกการเสียภาษี เป็นต้น
การศึกษา ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรียนการสอน ซึ่งมีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยการสอนในลักษณะบทเรียน CAI หรืองานด้านทะเบียน ซึ่งทำให้สะดวกต่อการค้นหาข้อมูลนักเรียน การเก็บข้อมูลยืมและการส่งคืนหนังสือห้องสมุด

ประโยคช์ของนํ้าแตงโม

ประโยชน์ของน้ำแตงโม

แตงโม ผลไม้ลูกกลม ลูกรี ตลอดจนลูกทรงกระบอก เป็นพืชไม้เถาตระกูลเดียวกับพืชตระกูลแตง เช่น แตงกวา แตงแคนตาลูป และฟัก แตงโมเป็นพืชเมืองร้อนที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแอฟริกาตอนเหนือและตะวันออกกลาง มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Citrullus vuigaris ลำต้นเป็นเถาเลื้อยแผ่ไปตามพื้นดิน ใบมีลักษณะเว้าลึก 3-4 หยัก ก้านใบยาว ทั้งเถาและใบมีขน

แตงโม มีมากมายหลายพันธุ์ให้เลือกรับประทาน พันธุ์ที่นิยมกันมาก ก็มีแตงโมจินตหรา แตงโมตอปิโดและแตงโมที่มีเนื้อสีเหลือง หรือแตงโมน้ำผึ้ง ส่วนใครที่ไม่ชอบรับประทานแตงโม เพราะรำคาญเมล็ดอันมากมายของมัน เดี๋ยวนี้เขาก็มีแตงโมพันธุ์ไม่มีเมล็ดให้เลือกซื้อเหมือนกัน แต่สนนราคาก็แพงน่าดู

แตงโม ไม่เพียงมีรสหวานและเย็นเท่านั้น ยังมีสารอาหารต่างๆที่มีประโยชน์ ทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โปแตสเซียม และวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะวิตามินเอ ซึ่งมีมากเป็นพิเศษในเนื้อแตงโมที่มีสีแดงๆ

แตงโม เป็นผลไม้ฉ่ำน้ำ มีความเย็น รสหวาน รับประทานเป็นผลไม้แก้กระหายคลายร้อนได้อย่างดี หรือนำมาทำเป็นน้ำแตงโมปั่น น้ำแตงโมเชค ดื่มแก้กระหาย หรือดื่มเป็นน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ ดื่มกันได้ตลอดทั้งวัน อาจเป็นช่วงระหว่างมื้ออาหาร หรือก่อนนอนก็ได้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อ่อนเพลียมากๆ เช่น ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะพักฟื้น หรือหลังจากการผ่าตัด เพราะน้ำแตงโมช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้น

น้ำแตงโม ยังช่วยทำให้ร่างกายขับปัสสาวะได้ดี จึงมีผลช่วยล้างไต ล้างกระเพาะปัสสาวะ ไม่ให้ร่างกายมีการสะสมกรดยูริค อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคไขข้อ โรคเกาต์ สำหรับคนผิวหนังแห้งกร้าน อันเนื่องมาจากภาวะเลือดเป็นกรด เพราะกินเนื้อสัตว์ ของทอด ขนมหวาน อาหารแป้งขัดขาว และเครื่องดื่มพวกกาแฟ โคล่ามากเกินไป น้ำแตงโมช่วยได้ นอกจากนี้ในเนื้อแตงโมยังมีเอ็นไซม์ที่ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารอีกด้วย ก่อนกินข้าวก็ดื่มน้ำแตงโมสักแก้วจะได้เจริญอาหาร

การเลือกซื้อแตงโม ต้องซื้อที่มีผิวเปลือกเรียบ ไม่เป็นรอย รูปทรงสวยงาม ถ้าเลือกซื้อที่ผ่าแล้วได้ยิ่งดี เพราะจะได้เห็นลักษณะของเนื้อแตงโมได้ เนื้อแตงโมต้องมีสีแดง เนื้อเนียน ไส้ไม่ส้ม มีรสหวานเย็นน้ำแตงโมปั่

เทคโนโลยีอาวกาศ

> เทคโนโลยีอวกาศ (Technology)
เทคโนโลยีอวกาศ (Technology) เทคโนโลยีอวกาศ คือการสำรวจสิ่งต่างๆที่อยู่นอกโลกของเราและสำรวจโลกของเราเองด้วย ปัจจุบันเทคโนโลยีอวกาศได้มีการพัฒนาไปเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ทำให้ได้ความรู้ใหม่ๆมากขึ้น โดยองค์การที่มีส่วนมากในการพัฒนาทางด้านนี้คือองค์การนาซ่าของสหรัฐอเมริกา ได้มีการจัดทำโครงการขึ้นมากมาย ทั้งเพื่อการสำรวจดาวที่ต้องการศึกษาโดยเฉพาะและที่ทำขึ้นเพื่อศึกษาสิ่งต่างๆในจักรวาล การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศนั้นมีทั้งด้านการสื่อสาร ทำให้การสื่อสารในปัจจุบันทำได้อย่างรวดเร็ว การสำรวจทรัพยากรโลก ทำให้ทราบว่าปัจจุบันนี้โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง และการพยากรณ์อากาศก็จะทำให้สามารถเตรียมพร้อมที่จะรับกับสถานการณ์ต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปได้เทคโนโลยีอวกาศ : ระบบการขนส่งอวกาศ
ระบบการขนส่งอวกาศเป็นโครงการที่ถูกออกแบบให้สามารถนำชิ้นส่วนบางส่วนที่ใช้ ไปแล้วกลับมาใช้ใหม่อีกเพื่อเป็นการประหยัดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ จรวดเชื้อเพลิงแข็ง ถังเชื้อเพลิงภายนอก (สำรองไฮโดรเจนเหลวและออกซิเจนเหลว) และยานอวกาศ
ระบบขนส่งอวกาศมีน้ำหนักรวมเมื่อขึ้นจากฐานปล่อยประมาณ 2,041,200 กิโลกรัม โดยจรวดเชื้อเพลิงแข็งจะถูกขับเคลื่อนจากฐานปล่อยให้นำพาทั้งระบบขึ้นสู่อวกาศด้วยความเร็วที่มากกว่าค่าความเร็วหลุดพ้น เมื่อถึงระดับหนึ่งจรวดเชื้อเพลิงแข็งทั้งสองข้างจะแยกตัวออกมาจากระบบ จากนั้นถังเชื้อเพลิงภายนอกจะแยกตัวออกจากยานอวกาศ โดยตัวยานอวกาศจะเข้าสู่ วงโคจรเพื่อปฏิบัติภารกิจต่อไป ดังรูป
การปฏิบัติภารกิจสำหรับระบบขนส่งอวกาศมีหลากหลายหน้าที่ ตั้งแต่การทดลองทางวิทยาศาสตร์ (ในสภาวะไร้น้ำหนัก) การส่งดาวเทียม การประกอบกล้องโทรทรรศน์อวกาศ การส่งมนุษย์ไปบนสถานีอวกาศ ฯลฯ ยานอวกาศจึงถูกออกแบบสำหรับบรรทุกคนได้ประมาณ 7-10 คน ปฏิบัติภารกิจได้นานตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงหรืออาจใช้เวลาถึง 1 เดือน สำหรับโครงการขนส่งอวกาศขององค์การนาซามีอยู่ด้วยกัน 6 โครงการ คือ
1. โครงการเอนเตอร์ไพรส์
2. โครงการโคลัมเบีย
3. โครงการดิสคัฟเวอรี
4. โครงการแอตแลนติส
5. โครงการแชลแลนเจอร์
6. โครงการเอนเดฟเวอร์
ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันว่าโครงการแชลแลนเจอร์และโครงการโคลัมเบียประสบความ สูญเสียครั้งร้ายแรง เมื่อยานทั้งสองเกิดระเบิดขึ้นขณะอยู่บนท้องฟ้า โดยระบบขนส่งอวกาศแชลแลนเจอร์ระเบิดเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2529 ระหว่างเดินทางขึ้นสู่อวกาศไม่เพียงกี่นาทีด้วยสาเหตจากการรั่วไหลของก๊าซ เชื้อเพลิงอุณหภูมิสูงจากรอยต่อของจรวดเชื้อเพลิงแข็งด้านขวาของตัวยาน ทำให้ก๊าซอุณหภูมิสูงดังกล่าวลามไปถึงถังเชื้อเพลิงภายนอกที่บรรจุไฮโดรเจน เหลว จึงเกิดการเผาไหม้อย่างรุนแรงและเกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตนักบินอวกาศ 7 คน ส่วนระบบขนส่งอวกาศโคลัมเบียเกิดระเบิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2546 (17 ปี หลังการระเบิดของยานแชลแลนเจอร์) โดยวิศวกรนาซาเชื่อว่าอาจเพราะตัวยานมีการใช้งานยาวนานจนอาจทำให้แผ่นกัน ความร้อนที่หุ้มยานชำรุด ทำให้เกิดระเบิดขึ้นหลังจากนักบินกำลังพยายามร่อนลงสู่พื้นโลก แต่ทั้งสองเหตุการณ์ในสหรัฐอเมริกายังไม่ร้ายแรงเท่าเหตุการณ์ระเบิดของจรวด ของสหภาพโซเวียตขณะยังอยู่ที่ฐาน เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2503 โดยมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวถึง 165 คน โศกนาฏกรรมเหล่านี้ที่เกิดขึ้นแม้จะทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและ ทรัพย์สิน แต่มนุษย์ก็ยังไม่เลิกล้ มโครงการอวกาศ ยังมีความพยายามคิดและสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อความปลอดภัยและลดค่าใช้จ่ายให้มากขึ้น ด้วยเป้าหมายหลักของโครงการขนส่งอวกาศในอนาคตคือการสร้างสถานีอวกาศถาวรและ การทดลองทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ

ดาราจัก

ดาราจักร

เอกภพประกอบด้วยกลุ่มแก๊สและดาวฤกษ์จำนวนมากมายที่เกาะกลุ่มกันเป็นกาแล็กซีหรือดาราจักร (galaxy) ระบบของดาวฤกษ์มากมายที่รวมเข้าด้วยกันด้วยแรงโน้มถ่วงมีนับแสนล้านดวงและนักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่าดาราจักรมีจำนวนนับแสนล้านดาราจักรเช่นกัน มีเพียงกาแล็กซีเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุด 2-3 กาแล็กซีเท่านั้นที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เช่น ดาราจักรแอนโดรเมดา บางครั้งอาจมองเห็นการระเบิดของดวงดาวที่เรียกว่า ซูเปอร์โนวา ในดาราจักรที่ห่างไกล เพราะว่าเราไม่สามารถมองเห็นดวงดาวแต่ละดวงได้ นักดาราศาสตร์จึงเพียงแต่สังเกตเห็นสมบัติของดวงดาว เช่น รูปร่าง กลุ่มของดวงดาว



แสดงดาราจักรแบบกังหัน

นักดาราศาสตร์ได้แบ่งดาราจักรโดยใช้ลักษณะรูปร่างออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1. ดาราจักรแบบก้นหอยหรือกังหัน (spiral galaxies:S) ใช้อักษร S เขียนแทนดาราจักรพวกนี้ โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย a, b, c และ d โดยยึดความหนาแน่นของการขดของแกนกังหัน ความชัดเจนของการเห็นแกนกังหัน และขนาดของนิวเคลียสในการจัดประเภท ดาราจักรแบบกังหันมีหลายดาราจักร เช่น ดาราจักรแอนโดรเมดา (M31) เป็นดาราจักรแบบกังหัน อยู่ห่างโลก 2.4 ล้านปีแสง สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยจะเห็นเป็นจุดจางๆ ในกลุ่มดาวแอนโดรเมดา (Andromeda) ดาราจักรทางช้างเผือกหรือกาแล็กซีของเรา ซึ่งเป็นดาราจักรที่ระบบสุริยะของเราอยู่



แสดงดาราจักรแบบก้นหอย

2. ดาราจักรแบบกังหันมีแกน (bar-spiral galaxies: Bs) มีลักษณะโดยทั่วๆ ไปแบนคล้ายจานนูน ตรงกลางทั้งสองด้าน หรือเหมือนไข่ดาวสองฟองประกบกัน มีแขนเป็นวงโค้งแผ่ออกมาจากใจกลางดาราจักร คล้ายดาราจักรแบบกังหัน แต่จะมีแถบสว่างหรือมืดคล้ายคานพาดในบริเวณใจกลางของดาราจักรอยู่ด้วย



แสดงดาราจักรแบบกังหันมีแกน

3. ดาราจักรรูปไข่ (eclipse galaxies: E) เป็นดาราจักรที่มีลักษณะความสมดุลทางรูปร่างสูง มีทั้งชนิดที่แบนมาก แบนน้อย กลมมาก หรือค่อนไปทางรี บางชนิดก็มีรูปร่างลักษณะเกือบเป็นทรงกลม ตัวอย่างของดาราจักรรูปกลมรีคือ ดาราจักรขนาดเล็กที่อยู่ใกล้ๆ กับดาราจักรแอนโดรเมดาสองดาราจักร คือ M32 และ M110



แสดงดาราจักรรูปไข่

4. ดาราจักรแบบไร้รูปร่าง (irregular galaxies) เป็นดาราจักรชนิดไม่มีรูปร่างที่แน่นอน มีลักษณะไม่เป็นระเบียบ ไม่มีรูปร่างเป็นรูปทรงแบบใดเลย จะส่องแสงออกมาเพียงจางๆ มีขนาดเล็ก อาจเรียกว่าเป็นดาราจักรแคระ (dwarf galaxy) บางดาราจักรมีขนาดเล็กมากจนดูคล้ายกระจุกดาว เช่น ดาราจักรแมกเจลแลนใหญ่ (large magellanic clouds galaxy) และดาราจักรแมกเจลแลนเล็ก (small magellanic clouds galaxy)


แสดงดาราจักรแบบไร้รูปร่าง

ดาราจักรทางช้างเผือก
ดาราจักรทางช้างเผือก (The milky way galaxy) เป็นดาราจักรที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 100,000 ปีแสง ความหนาประมาณ 10,000 ปีแสง เป็นอาณาจักรของดวงดาวประมาณ 1 แสนล้าน ดวง มีทั้งดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ เนบิวลา และกระจุกดาวดาราจักรทางช้างเผือกมีบริวารเล็กๆ 2 แห่ง มองเห็น ได้ด้วยตาเปล่าในท้องฟ้าซีกใต้ คล้ายเมฆที่ส่องสว่างเรืองๆ เป็นดาราจักรไม่มีรูปร่างขนาดเล็ก ห่างจากดาราจักรทางช้างเผือกประมาณ 162,500 ปีแสง ได้แก่ ดาราจักรแมกเจลแลนใหญ่และดาราจักรแมกเจลแลนเล็ก



แสดงดาราจักรทางช้างเผือก

การสังเกตทางช้างเผือก
ในคืนที่ท้องฟ้าแจ่มใส เราจะมองเห็นแถบฝ้า สีขาวคล้ายเมฆพาดยาวข้ามขอบฟ้า คนโบราณเรียกแถบฝ้าสว่างนี้ว่า ทางช้างเผือก หรือ ทางน้ำนม ที่เรียกเช่นนี้เป็นเพราะคนไทยในสมัยโบราณเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็น โอรสของสวรรค์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และมีช้างเผือกเป็นสัตว์คู่บารมี จึงมีความเชื่อว่ามีทางช้างเผือกอยู่บนสวรรค์ แถบทางช้างเผือกที่ปรากฏนั้นเป็นแถบดาวที่เกิดจากการที่มีผู้สังเกตมองเข้าไปใจกลางดาราจักรที่มีดาวอยู่กันอย่างหนาแน่น หากหันออกมาด้านอื่นๆ จะเห็นดาวปรากฏเป็นดวงๆ ได้ชัดเจน

ตำแหน่งของระบบสุริยะในดาราจักร
ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ดวงหนึ่งที่อยู่ในดาราจักร ทางช้างเผือก (The milky way) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นดาวฤกษ์มากมาย มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 แสนปีแสง ระบบสุริยะอยู่ห่างจากศูนย์กลางราว 32,600 ปีแสง ดวงอาทิตย์และบริวารโคจรครบรอบดาราจักรในเวลา 225 ล้านปี



แสดงตำแหน่งของระบบสุริยะในดาราจักรทางช้างเผือก

ประโยชน์ของฟักทอง

ประโยชน์ของฟักทอง สรรพคุณทางยาเพื่อสุขภาพ

ฟักทองถือเป็นพืชในตระกูลมะระชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวผลขณะยังอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่จะแล้วจะมีสีเขียวสลับเหลือง ผิวไม่เรียบขรุขระเปลือกมีลักษณะแข็ง เนื้อในสีเหลืองมีเส้นใยอยู่ภายในเป็นสีเหลืองนิ่มพร้อมกับเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ประโยชน์ของฟักทองนั้นมีมากมายสามารถนำมาใช้กินบำรุงร่างกายและรักษาโรคได้ดี
ประโยชน์ของฟักทอง
สรรพคุณทางยาของฟักทอง

- เมล็ดสามารถขับพยาธิตัวตืด ขับปัสสาวะ และบำรุงร่างกายได้ดี
- ราก บำรุงร่างกาย แก้ไอ ถ่อนพิษของฝิ่นได้
- น้ำมันจากเมล็ดบำรุงประสาทได้ดี
- เยื่อกลางผลสามารถนำมาพอกแก้อาการฟกช้ำ ปวด อักเสบ
ประโยชน์ของฟักทองทางโภชนาการ

- เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูงมาก มีฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง สารสีเหลืองและโปรตีน
- ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ
- ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย
- เมล็ด มีน้ำมัน แป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน
เกล็ดเล็กเกล็ดน้อยประโยชน์ของเมล็ดฟักทอง ในเมล็ดฟักทองมีสารชื่อ คิวเคอร์บิติน (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี วิธีใช้ให้เตรียมเมล็ดฟักทองประมาณ 60 กรัม ทุบให้แตกละเอียดนำมาผสมกับน้ำตาล นม และน้ำเติมลงไปจนได้ประมาณ 500 มิลลิลิตร แบ่งรับประทาน 3 ครั้ง ห่างกันทุก 2 ชั่วโมงจะฆ่าพยาธิตัวตืดได้ หลังจากนั้นให้ยาแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง ควรรับประทานยาระบายน้ำมันละหุ่ง 2 ช้อนโต๊ะช่วยในการขับถ่าย

ประโยคช์ของหนังสือ

วันก่อนได้อ่านเรียงความของเด็กระดับประถมถึงมัธยมต้น เรื่องประโยชน์ของการอ่านหนังสือ แรกทีเดียวก็คิดว่า จะกรองเอาประเด็นที่เขาเขียนมาลง blog พออ่านไปอ่านมา รู้สึกว่าจับประเด็นไม่ค่อยได้ อาจจะเพราะเด็กไม่ค่อยได้มีโอกาสอ่านหนังสือหลากหลาย และยังถ่ายทอดได้ไม่ชัดเจนว่าประโยชน์ของการอ่านหนังสือมีอะไรบ้าง ผมจึงขอเขียนถึงประโยชน์ของการอ่านหนังสือกะเขามั่งแล้วกัน เพราะผมมั่นใจว่า ปริมาณหนังสือที่ผมอ่านไม่น้อย แต่ละวันผมอ่านหนังสือหลายบรรทัดอยู่นะครับ :-0

1. เพื่อการเรียนรู้ ศึกษาด้วยตัวเอง ถ้าใครบอกว่า เฮ่ย ความรู้ไม่ได้อยู่ในตำรา! มันอยู่นอกตำราถมไป ก็ใช่ครับ แต่เท่าที่ผมอ่านจากประวัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต โดยส่วนใหญ่ มีธาตุแท้ของการพยายามศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองด้วย แต่ผมไม่ปฏิเสธความรู้นอกตำรา เพราะมันมีจริงเช่นกันครับ

2. เพื่อช่วยการเพิ่มพูนความรู้ อันนี้เห็นได้ชัดๆ คนที่มาทำงาน บางทีทำงานไม่ตรงกับสายอาชีพที่ตัวเองเรียนจบมา ถึงแม้ว่าตรงก็ยังต้องอัพเดทตัวเองให้ทันสมัย ผมว่าแทบจะถูกสาขาอาชีพเลยล่ะ ถึงจะไม่เพิ่มพูนความรู้ ก็เพิ่มพูนมุมมอง ทำให้เป็นคนใจกว้างขึ้น เช่น คนทำการเกษตร พออ่านนิตยสารการเกษตรก็จะต้องเปรียบเทียบกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ แล้วก็อาจจะพบว่า เอ๊ะ มีแบบนั้นด้วยเหรอ? เอาว่ะ เขาทำแบบนั้นกัน ประหยัดต้นทุน เพิ่มผลผลิต

3. เปลี่ยนทัศนคติและมุมมอง บ้างก็ว่า You are what you read, Margaret Fuller กล่าวคำคมว่า Today a reader, tomorrow a leader (ร้านหนังสือบางแห่งติดแบนเนอร์คำนี้เพื่อจูงใจให้คนอ่านหนังสือ เหมือนวิทยาลัยบางแห่ง ขึ้นคัตเอาท์ ประโยคเด็ดของไอน์สไตน์ Imagination is more important than knowledge) เชื่อมั้ยครับ สำหรับบางคน เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย เช่น พอได้อ่าน ชีวจิต แล้วชีวิตก็เปลี่ยนไป หรือบางคนอ่านเรื่องดีๆ จาก รีดเดอร์ ไตเจทส์ แล้วก็เกิดมุมมองใหม่ๆ คำถามคือ หนังสืออะไรที่มีอิทธิพลต่อคุณบ้างครับ?

4. เพื่อความบันเทิง หนีไปจากโลกปัจจุบัน (escapism) มันมีกันอยู่ทุกคนละครับ อาการเบื่อโลก หรือความต้องการในหาความบันเทิงนี่ ผมชอบอ่านนิยายครับ สมัยก่อน อ่านนิยายจีนกำลังภายใน ตอนหลังอ่านนิยายแปล กระทั่งอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น แต่อย่าได้ดูถูกนิยายต่างๆเหล่านี้นะครับ เพราะจริงๆแล้วในความบันเทิง ก็มีสาระซ่อนอยู่ หรือบางทีแฝงวิชาการ ความรู้ไว้ด้วย ได้ทั้งความบันเทิง ได้ทั้งมุมมอง อ่านแล้วสนุก หลายๆเรื่องมีโครงสร้างเรื่องของอารมณ์ จิตสำนึก หรือซ่อนความเลวร้าย กิเลสของคน หลายๆ เรื่องอ้างอิงถึงงานวิชาการระดับสูงๆ ด้วย
5. เพื่อค้นหาคามเป็นตัวของตัวเอง ศึกษาธรรมะ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า และดำรงชีวิตอยู่ในโลกที่กระแสทุนนิยมไหลเชี่ยวกราก สังคมฟอนเฟะ คนรอบข้างไม่ได้ดั่งใจ กระทั่งบางทีก็รู้สึกว่า ทำไม ใครต่อใครรอบตัวเรา ในชีวิตคนทำงานนี่มันช่างเห็นแก่ตัวกันนัก (อ้าวๆๆ มองโลกในแง่ร้ายซะงั้น) หรือสงสัยว่า ไอ้ที่เราๆทำอยู่ทุกวันนี้ มันใช่ความสุขที่แท้ ตัวตนที่จริงของเราหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนี้ ลองหาหนังสือธรรมะมาอ่านครับ จะได้มีโอกาสได้รู้จักตัวเอง หรือทบทวนตัวเองไปด้วย

6. เพื่อให้ทันโลก (อันนี้ผม copy เรียงความของเด็กๆมา) แต่เด็กๆ มักจะบอกว่า ต้องอ่านหนังสือพิมพ์ หรือฟังข่าวถึงจะทันโลก --- โอเค สำหรับการเริ่มต้นที่จะโต ก็คงต้องแบบนั้นก่อน อ่านข่าว หัวเขียว หัวม่วง ไม่ว่ากัน แต่ก็น่าจะมีใครสักคนคอยสอนเด็กเหล่านั้น ให้มีวิจารณญาณในการเลือกเสพย์ข่าวด้วย เพราะข่าวพวกนั้นไม่ใช่ข่าวคุณภาพ การทันข่าวแบบนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรกับชีวิต ถามจริงๆ ข่าวฆ่ากันตายรายวัน ผัวเมียตบตีกัน มันช่วยให้ทันโลกตรงไหนหว่า?? ผมว่าข่าวพวกนี้ เป็น บันเทิงรายวันมากกว่า บันเทิงบนความเจ็บปวด บนความสูญเสียของคนอื่น แต่ถ้าหากจะทันโลกจริงๆ ก็ต้องศึกษาโลกด้วยความสุขุม ด้วยความเข้าใจจริงๆ สุดท้าย อะไรเกิดขึ้น ก็บอกว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะเช่นนี้ จึงเป็นเช่นนั้น – ตถตา อ้าว กลายเป็นศาสนาไปเสียแล้ว การจะศึกษาให้ทันโลกนี้ มันต้องศึกษาทั้งโลกีย์ และโลกุตระ จริงๆนะครับ ทางหนึ่งศึกษาความเป็นไปของชีวิต อีกทางหนึ่ง ศึกษาธรรม สองอย่างนี้ แต่อ่านหนังสืออาจจะไม่พอ แต่ต้องอ่าน

ทำไมหนังสือถึงอยู่คู่โลกนี้ไปยืนยาว และยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไป สำหรับธุรกิจ หนังสือเป็นสินค้าที่สามารถผลิตได้ ต้นทุนไม่แพง ใครๆก็พิมพ์หนังสือได้ ดังนั้น หนังสือหลายสิบประเภทจึงมีให้เลือกอ่าน สำหรับนักอ่าน เพราะหนังสือเป็นการลงทุนที่ไม่แพงเลย แถมพกพาไปไหนมาไหนก็ได้ (ถ้าไม่คิดว่า มันจะยับ) เล่มขนาดพ็อคเก็ตบุ้ค ยิ่งสบายใหญ่

ก่อนจะไล่ออกทะเลไปไกลกว่านี้ ลองหยิบหนังสือมา สักเล่มครับ แล้วค่อยถามตัวเองว่า อ่านเล่มนี้แล้วได้ประโยชน์อะไร

ตอนนี้ผมกำลังอ่าน
1. เซียนบะหมี่สีรุ้ง การ์ตูนญี่ปุ่น เริ่มแรกก็เป็นการอ่านเพื่อบันเทิงครับ แต่อ่านๆไป เหมือนวิชา การจัดการเชิงกลยุทธ์ (strategic management + marketing management) เลย
2. สิทธารถะ ของ เฮอร์มานน์ เฮสเส ฉบับ แปลโดย สดใส เพิ่งได้หนังสือมา ยังอ่านไม่จบ เป็นหนังสือที่ You must เขาว่าอย่างนั้น ก็กะว่าจะอ่านเพื่อเรียนรู้ตัวเอง
3. xxxx ,xxxxxx หนังสือ 2-3 เล่ม ไม่ใช่ x นะครับ :-( เป็นหนังสือเกี่ยวกับงานที่ผมต้องทำ ถ้าไม่อ่านก็ไม่รู้จะถามใคร การค้นหาจากเน็ต ถาม google ก็ถือเป็นการอ่าน ใช่มั้ยครับ??

เอกภพ

1. ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเอกภพ
2. เอกภพแบบต่างๆ และยุคต่างๆของเอกภพ
3. รูปร่างของเอกภพ
4. หลุมดำ


เอกภพ (จักรวาล - universe)

เอกภพ (จักรวาล - universe) คือ ระบบที่รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติ ข้อมูลสำคัญของเอกภพคือ เส้นสเปกตรัมของดาราจักรเลื่อนไปทางสีแดงทำให้รู้ว่าเอกภพกำลังขยายตัว

การขยายตัวของเอกภพ
เราทราบแล้วว่าเอกภพคือแหล่งรวมทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ รวมทั้งที่ว่างหรืออวกาศด้วย นักดาราศาสตร์ต่างได้ศึกษาเส้นสเปกตรัมจากธาตุที่อยู่ในดาราจักรแล้วพบว่า เส้นเลื่อนไปทางแดงหรือทางความถี่ต่ำแสดงว่าดาราจักรกำลังเคลื่อนที่ออกห่างไปเรื่อย ๆ ทำให้เกิดปัญหาข้อถกเถึยงกันถึงลักษณะของดาราจักรและเอกภพในอดีตว่าเป็นอย่างไร

ในวงการดาราศาสตร์ได้มีทฤษฎีหนึ่งที่จะอธิบายการกำเนิดเอกภพและสาเหตุที่ดาราจักรกำลังเคลื่อนที่คือ ทฤษฎีการระเบิดใหญ่ (big-bang theory หรือทฤษฎีบิกแบง) โดย เลแมตร์ (G.Lemaitre) ได้กล่าวไว้ว่า ในอดีตเอกภพมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6,400 กิโลเมตร (4,000 ไมล์) เลอร์แมตร์ เรียกทรงกลมที่เป็นจุดกำเนิดของสสารนี้ว่า "อะตอมดึกดำบรรพ์" (Primeval Atom) เป็นอะตอมขนาดยักษ์ นำหนักประมาณ 2 พันล้านตันต่อลูกบาศก์นิ้ว (ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริงกับความหมายของอะตอมในปัจจุบันที่ให้ความหมายของอะตอม ว่าเป็นส่วยย่อยของโมเลกุล) อย่างไรก็ตามนักดาราศาสตร์ได้ถกเถียงและค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทฤษฎีนี้อย่างจริงจัง และกาโมว์ (G.Gamow) เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนทฤษฎีของเลอเมตร์ จากผลการคำนวณของกาโมว์ ในขณะที่อะตอมดึกดำบรรพ์ระเบิดขึ้น จะมีอุณภูมิสูงถึง 3 x 10^9 เคลวิน (3,000,000,000 เคลวิน) หลังจากเกิดการระเบิดประมาณ 5 วินาที อุณภูมิได้ลดลงเป็น 10^9 เคลวิน (1,000,000,000 เคลวิน) และเมื่อเวลาผ่านไป 3 x 10^8 ปี (300,000,000 ปี) อุณภูมิของเอกภพลดลงเป็น 200 เคลวิน

ในที่สุดเอกภพก็ตกอยู่ในความมืดและเย็นไปนานมากจนกระทั่งมีดาราจักรเกิดขึ้น จึงเริ่มมีแสงสว่างและอุณภูมิเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปี พ.ศ.2472 ฮับเบิล (Edwin P.Hubble) ได้ศึกษาสเปกตรัมของดาราจักรต่างๆ 20 ดาราจักร ซึ่งอยู่ไกลที่สุดประมาณ 20 ล้านปีแสง พบว่าเส้นสเปกตรัมได้เคลื่อนไปทางแสงสีแดง ดาราจักรที่อยู่ห่างออกไปจะมีการเคลื่อนที่ไปทางแสงสีแดงมาก แสดงว่าดาราจักรต่างๆ กำลังคลื่นที่ห่างไกลออกไปจากโลกทุกทีทุกทีๆ พวกที่อยู่ไกลออกไปมากๆจะมีการเคลื่อนที่เร็วขึ้น ดาราจักรที่ห่างประมาณ2.5พันล้านปีแสง มีความเร็ว 38,000 ไมล์ต่อวินาที ส่วนพวกดาราจักร ที่อยู่ไกลกว่านี้มีควาเร็วมากขึ้นตามลำดับ ความสัมพันธ์ระหว่างระยะทางของดาราจักรและ ความเร็วแห่งการเคลื่อนที่ เรียกว่า "กฎฮับเบิล" ทฤษฎีนี้อาจเรียกว่า "การระเบิดของเอกภพ" (Exploding Universe) ซึ่งก็สนับสนุนกับแนวคิดของเลแมตร์เช่นกัน

การทำเทียนหอม

ใครชอบแต่งบ้านให้ได้ทั้งความสวยงามและได้ประโยชน์ด้วยละก็ นี่แหละ ใช่เลย เทียนหอมกันยุง เป็นงานหัตถกรรมที่มีความสวยงามสามารถตกแต่งได้ตามใจผู้ทำ สิ่งที่จะต้องเรียนรู้ก็เป็นเรื่องของวัสดุต่างๆที่นำมาใช้และเทคนิค วิธีทำ เมื่อทราบขั้นตอนต่างๆเหล่านี้เมื่อได้ลงมือทำไปบ้างแล้วที่นี้ล่ะ แบบเทียนสวยๆหอมๆจากใจคุณก็จะออกมาได้เอง ยังไงส่งภาพมาให้ดูกันบ้างนะครับ
มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เรามาดูกันว่าจะต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้างในการทำเทียนหอม


1 หม้อ หุงข้าวไฟฟ้า ใช้สำหรับละลายเทียนเพื่อความสะดวก เพราะตัวหม้อจะมีระบบตัดไฟเมื่อน้ำเทียนเดือด เมื่อเทียนแข็งตัวและเราต้องการให้เทียนหลอมละลายอีกเราก็กดปุ่มอีกครั้ง


2 หม้อ สองชั้นสำหรับตุ๋นเทียน ชั้นล่างเป็นหม้อใบใหญ่กว่าสำหรับใส่น้ำ ใบบนสำหรับใส่เทียนเป็นหม้อใบเล็กกว่ามีด้ามจับ ถ้าใช้หม้อชั้นเดียวเนื้อเทียนจะถูกความร้อนโดยตรงซึ่งร้อนเกินไปและไม่ สะดวกแก่การทำงาน


3 ถาดขนมสี่เหลี่ยมขนาดต่างๆ ควรเป็นแบบที่ทำจากอลูมิเนียมจะได้ทนความร้อนได้ดี


4 ช้อน สำหรับตักเทียน


5 แม่พิมพ์ สำหรับยอดเทียนให้เป็นรูปต่างๆ


6 เหล็กคีบ ใช้หนีบภาชนะร้อนๆจะได้ไม่ร้อนมือ


7 กาละมังสเตนเลสใบเล็ก


8 ทัพพีกลมสำหรับตักน้ำเทียน


9 กรรไกรสำหรับตัดแต่งเทียน


10 แม่พิมพ์ สำหรัยยอดเทียนให้เป็นรูปต่างๆ กรณีที่ต้องการทำรูปแบบต่างๆให้ดูสวยงาม


11 เหล็กแหลม สำหรับปักไส้เทียน

วัสดุที่เราใช้ในการทำเทียน
1 พาราฟินแวกซ์ มีลักษณะเป็นของแข็งใสมีทั้งแบบก้อนและเม็ด มีจุดหลอมเหลวที ่58°c - 62°c


2 โพ ลีเอททีลีนแวกซ์ หรือที่นิยมเรียกกันติดปากว่า พีอี หรือโพลีเอสเตอร์ เอสเตอร์รีน มีลักษณะเป็นเกล็ด ช่วยทำให้เทียนจุดได้นานขึ้นปกติจะใช้ประมาณ 2--10 เปอร์เซนต์


3 สเตียริคเอซิค ช่วยทำให้เทียนมีผิวลื่นแกะออกจากพิมพ์ง่าย มีทั้งแบบเป็นเกล็ดและเม็ดไข่ปลา ปกติจะใช้ 4 ช้อนโต๊ะต่อพาราฟิน 1/2 กก.


4 ไมโครแวกซ์ ช่วยทำให้เทียนมีความเหนียวง่ายต่อการปั้นหรือแกะสลัก มีลักษณะเป็นแผ่นสีขาว ถ้าใช้แบบคุณภาพต่ำจะทำให้มีควันมาก


5 ไส้เทียน มี 2 แบบคือแบบที่ฟอกแล้วจะมีสีขาวและแบบที่ยังไม่ได้ฟอกจะมีสีขาวขุ่น


6 สีผสมเทียน


7 น้ำมันตะไคร้หอม

เรื่องของวัสดุในการทำเทียนหอมกันยุงผมได้แจงรายละเอียดไว้เผื่อสำหรับในการ ทำเทียนแบบสวยงามด้วยเลย จึงดูค่อนข้างจะมีส่วนประกอบมาก ลองทำดูก็แล้วกันครับมีไอเดียอะไรในเรื่องของรูปแบบหน้าตาก็ดัดแปลงได้ไม่ ผิดกติกา วัสดุหาซื้อได้ตามร้านเครื่องเขียนโดยเฉพาะร้านใหญ่ๆจะมีขายส่วนอุปกรณ์หา ซื้อได้ตามซุปเปอร์มาเก็ตตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป บางรายการเช่นแบบพิมพ์ขนมรูปต่างๆมีขายตามร้านขายอุปกรณ์ทำขนม

วิธีการทำเทียนหอม
1 นำแผ่นฟาราฟินแวกซ์หั่นเป็นท่อนๆใส่หม้อขึ้นตั้งความร้อนปานกลาง เคี้ยวไปจนละลายเป็นของเหลว
2 ใสสีตามลงไปโดยใส่ทีละน้อยตามต้องการคนจนสีเนียนเข้ากันทั่วทั้งหม้อหากสีจืดไปค่อยเติมสีเพิ่ม
3 ใส่หัวน้ำมันตะไคร้หอมประมาณ 3-4 หยดต่อเทียน 1/2 กก.
4 หยอดเทียนใส่พิมพ์ รอจนแข็งตัวจึงแกะออกจากพิมพ์ ตกแต่งผิวด้วยมีดหรือกรรไกร หรืออาจหยอดใส่ถ้วยแก้วเล็กๆก็ได้
5 นำมาตกแต่งด้วยริบบิ้นหรืออื่นๆเพื่อให้ดูสวย

การทำเทียนแบบนี้ก็เป็นงานศิลปะอย่างหนึ่งที่สร้างสรรได้ตามความคิดของผู้ทำ รูปแบบของหน้าตาที่ออกมาจะสวยอย่างไรก็คงคล้ายๆกับการแต่งหน้าเค้กที่ต้อง อาศัยทักษะ การสังเกตุจดจำรูปแบบต่างๆที่เคยเห็นและนำมาประยุกต์หรืออาจออกแบบตามแนว ความคิดที่จินตนาการขึ้นเอง