จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

การทำสบู่

วิธีทำสบู่มาบอก เผื่อคัยจะเอาไปทำงานหรือเอาไปลองทำดูก้อได้นะคับบบ
เป็นที่ทราบกันดีว่าสบู่ช่วยรักษาความสะอาดให้ร่างกาย และสิ่ง อื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี ความสะอาดช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค การทำสบู่ใช้เองภายในบ้านสามารถทำได้โดยอาศัยส่วนประกอบที่สำคัญคือ ไขมันและน้ำด่าง
วิธีการทำสบู่ มีอยู่ 2 วิธีคือ
วิธีที่ 1 ใช้น้ำด่างสำเร็จรูปในท้องตลาด หากสามารถหาซื้อน้ำด่าง สำเร็จรูปได้ง่ายในท้องตลาด
วิธีที่ 2 ใช้น้ำด่างจากการชะล้างขี้เถ้า วิธีนี้ได้แบบอย่างมาจากผู้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกาเหนือรุ่นแรก ๆ
ส่วนผสมของสบู่
1. ไขมันและน้ำมัน อาจเป็นไขมันสัตว์หรือน้ำมันพืชก็ได้ แต่น้ำมันจากแร่ธาตุใช้ไม่ได้ ไขมันสัตว์ เช่น ไขวัว กระบือ น้ำมันหมู ฯลฯ ไขมัน พืช เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก ข้าวโพด เมล็ดฝ้าย ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และน้ำมันละหุ่ง ฯลฯ
2. น้ำด่าง น้ำด่างสำเร็จรูปที่ขายในท้องตลาดเรียกว่า โซดาไฟ หรือผลึกโซดา หรือผลึกโซเดียมไฮดรอกไซด์ ราคาถูกมีขายทั่วไป หรือน้ำ ด่างที่ได้จากการชะล้างขี้เถ้าเรียกว่า โพแทช
3. บอแร็กซ์ สารบอแร็กซ์นี้ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้ แต่สารนี้ช่วยให้ สบู่มีสีสันสวยงามและทำให้เกิดฟองมาก มีจำหน่ายตามร้านขายยา หรือร้านขายของชำ มีชื่อเรียกว่า ผงกรอบ หรือผงนิ่ม ส่วนใหญ่บรรจุในถุง พลาสติก
4. น้ำหอม น้ำหอมก็ไม่จำเป็นต้องใช้เช่นกัน แต่ถ้าใช้จะทำให้สบู่ มีกลิ่นดีขึ้น ถ้าไขมันที่ใช้ทำสบู่นั้นเหม็นอับ ใช้น้ำมะนาวหรือน้ำมะกรูดผสม จะช่วยให้กลิ่นหอมยิ่งขึ้นและไม่เน่า
5. น้ำ น้ำที่ใช้ทำสบู่ได้ดีต้องเป็นน้ำอ่อน ถ้าเป็นน้ำกระด้างจะทำ ให้สบู่ไม่เกิดฟอง จึงขจัดความสกปรกไม่ได้ ควรทำให้น้ำนั้นหายกระด้าง เสียก่อน โดยเติมด่างประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ (15 มิลลิลิตร) ต่อน้ำกระด้าง 1 แกลลอน (3.8 ลิตร) คนให้เข้ากัน ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 3-4 วัน จึงเท เอาส่วนบนออกมา ส่วนน้ำและตะกอนที่ก้นภาชนะเททิ้งไปได้ น้ำที่เหมาะ ในการทำสบู่มากที่สุดคือน้ำฝน
การทำสบู่จากน้ำด่างสำเร็จรูปในท้องตลาด
อุปกรณ์
- ถ้วย ถังหรือหม้อที่ทำด้วยเหล็กหรือหม้อดินก็ได้ แต่ อย่าใช้หม้ออะลูมิเนียม เพราะด่างจะกัด
- ถ้วยตวงที่ทำด้วยแก้วหรือกระเบื้องเคลือบ
- ช้อนกระเบื้องเคลือบหรือช้อนไม้ และใบพายหรือกิ่งไม้ ขนาดเล็กสำหรับคน
- แบบพิมพ์สบู่อาจจะทำด้วยแผ่นไม้หรือกระดาษแข็งก็ ได้ ขนาดของแบบพิมพ์จะใช้กว้างหรือยาวตามต้อง การ แต่ส่วนลึกควรจะเป็น 2-3 นิ้ว ดีที่สุด
- ผ้าฝ้ายหรือกระดาษมันสำหรับรองรับสบู่ในแบบพิมพ์ โดยตัดผ้าหรือกระดาษออกเป็น 2 ชิ้น ชิ้นหนึ่งกว้าง กว่าเล็กน้อย อีกชิ้นหนึ่งยาวกว่าแบบเล็กน้อย ใช้ สำหรับช่วยยกสบู่ออกจากแบบพิมพ์ง่ายขึ้น
อัตราส่วนของส่วนผสมที่ใช้ในการทำสบู่ได้ประมาณ 4 กิโลกรัม
น้ำมันหรือไขแข็งสะอาด
3 ลิตร หรือ 2.75 กก.
บอแร็กซ์
57 มิลลิลิตร (1/4 ถ้วย)
ผลึกโซดาหรือน้ำด่าง
370 กรัม
น้ำ
1.2 ลิตร
น้ำหอม (เลือกกลิ่นตามต้องการ)
1-4 ช้อนชา
ขั้นตอนในการทำสบู่
1. เตรียมไขมัน ถ้าไขมันไม่สะอาด ควรทำให้สะอาดเสียก่อน โดยเอาไปต้มกับน้ำในปริมาณที่เท่ากันในกาต้มน้ำ เมื่อเดือดแล้วเทส่วน ผสมผ่านผ้าบาง ๆ หรือตะแกรงสำหรับกรองลงในภาชนะที่เตรียมไว้ แล้วเติมน้ำเย็นลงไป 1 ส่วนต่อส่วนผสม 4 ส่วน ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นโดยไม่ ต้องคน ถ้าจะให้สะอาดยิ่งขึ้นควรใส่มันเทศที่หั่นเป็นแว่นลงไปก่อน ที่จะต้มส่วนผสม
2. เตรียมน้ำด่างผสม ทำได้โดย ตวงน้ำตามปริมาณที่ต้องการ แล้วค่อย ๆ เติมด่าง (ผลึก โซดา) ที่จะใช้ลงไปในน้ำ ไม่ควรเติมน้ำลงไปในด่าง เพราะจะเกิดความร้อน และกระเด็นทำให้เปรอะเปื้อนได้ แล้วปล่อยให้น้ำด่างผสมนี้เย็นลงจนปกติ
3. ค่อย ๆ เติมน้ำด่างผสมนี้ลงไปในไขมันที่ละลายแล้วในข้อ 1 ขณะที่เติมนี้ต้องคนส่วนผสมทั้งหมดนี้อย่างช้า ๆ และสม่ำเสมอในทิศทาง เดียวกัน จนกว่าส่วนผสมจะข้นตามปกติ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ช่วงนี้ เติมน้ำหอมที่เตรียมไว้ลงไปได้ หลังจากนั้นปล่อยไว้ 15-20 นาที จึงค่อย คนหนึ่งครั้ง ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง เมื่อส่วนผสมเหนียวดีแล้วจึงเทลงในแบบ พิมพ์ ซึ่งมีผ้าหรือกระดาษมันรองอยู่
4. หาฝาครอบแบบพิมพ์ แล้วทิ้งไว้ประมาณ 2 วัน ไม่ควรมีการ เคลื่อนย้ายหรือถูกกระทบกระเทือน สบู่จะยึดกันแน่นสามารถเอาออกจาก แบบพิมพ์ได้
5. เมื่อสบู่แข็งตัวดีแล้ว นำออกจากแบบพิมพ์ แล้วใช้เส้นลวดหรือ เส้นเชือกตัดสบู่ออกเป็นชิ้น ๆ ตามขนาดที่ต้องการ แล้วนำไปวางเรียงไว้ให้ อยู่ในลักษณะที่ลมพัดผ่านได้ทั่วถึงในบริเวณที่อุ่นและแห้ง ปล่อยไว้ 2-4 สัปดาห์ ก็นำไปใช้ได้
การทดสอบว่าสบู่จะดีหรือไม่
- สบู่ที่ดีควรจะแข็ง สีขาว สะอาด กลิ่นดีและไม่มีรส สามารถขูด เนื้อสบู่ออกเป็นแผ่นโค้ง ๆ ได้
- ไม่มันหรือลื่นจนเกินไป เมื่อใช้ลิ้นแตะดูไม่หยาบหรือสาก
การปรับปรุงสบู่ให้ดีขึ้น
ถ้าสบู่ที่ผ่านขั้นตอนตามเวลาที่ทำทุกช่วงแล้ว แต่ยังมีส่วนผสมบาง ส่วนไม่แข็งตัวหรือแยกกันอยู่ หรือไม่ดีเพราะสาเหตุใดก็ตาม อาจแก้ไขให้ดี ขึ้นดังนี้
- ตัดสบู่ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในหม้อที่มีน้ำบรรจุอยู่ 2.8 ลิตร พร้อมทั้งเทส่วนที่เป็นของเหลวที่เหลืออยู่ในแบบพิมพ์ลงไปด้วย
- นำไปต้มนานประมาณ10 นาที อาจเติมน้ำมะนาวหรือน้ำมัน อื่น ๆ ที่มีกลิ่นหอมลงไปในส่วนผสมประมาณ 2 ช้อนชา (ถ้ายังไม่ได้เติม)ต่อจากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในแบบพิมพ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ปล่อยไว้ 2 อัน แล้วดำเนินการตามที่กล่าวมาแล้ว
การทำสบู่จากน้ำด่างที่ได้จากขี้เถ้า
เริ่มต้นด้วยการทำน้ำด่างขึ้นเองจากขี้เถ้า
อุปกรณ์
1. เครื่องมือสำหรับการชะล้างน้ำด่าง ประกอบด้วยก้อนหิน ขนาดย่อม ๆ หลายก้อน
- แผ่นหินราบมีร่องน้ำให้ไหลได้
- ถังไม้ขนาดจุ 19 ลิตร มีรูเล็ก ๆ หลายรูติดอยู่ก้นถัง
- ภาชนะรองน้ำด่าง ไม่ควรใช้ภาชนะที่ทำด้วยอะลูมิเนียม เพราะน้ำด่างจะกัด
- กิ่งไม้เล็ก ๆ และฟาง
- ขี้เถ้า 19 ลิตร ซึ่งได้จากการเผาไหม้ทุกชนิด ขี้เถ้าจาก ไม้เนื้อแข็งจะใช้ทำน้ำด่างได้ดีที่สุด สำหรับชนบทแถบ ชายทะเล ขี้เถ้าจากการเผาสาหร่ายทะเลใช้ได้ดีมาก เพราะมีธาตุโซเดียมทำให้สบู่แข็งตัวได้ดี
- น้ำอ่อนปริมาณ 7.6 ลิตร
2. วิธีการชะล้างขี้เถ้าทำน้ำด่าง
- ตั้งอุปกรณ์ดังแสดงในรูป โดยที่ก้นของถังทำเป็นที่กรอง ขี้เถ้า ใช้กิ่งไม้ไข้วกัน 2 กิ่ง เรียงเป็นแถว แล้วเอาฟางวางลงบนกิ่ง
- ใส่ขี้เถ้าลงในถัง แล้วเทน้ำอุ่นลงในถังเพื่อให้ขี้เถ้าเปียก และเหนียว เกลี่ยให้เกิดหลุมตรงกลาง แล้วค่อย ๆ เทน้ำส่วนที่เหลือลงใน หลุมนั้น ปล่อยให้น้ำซึมแล้วเติมน้ำอีก น้ำด่างสีน้ำตาลจะไหลลงสู่ส่วนล่าง ของถัง นานประมาณ 1 ชม. น้ำด่างที่ได้จะมีปริมาณ 1.8 ลิตร ถ้าน้ำด่างที่ มีความเข้มข้นดีแล้ว ทดสอบได้โดยเอาไข่ไก่หรือมันฝรั่งใส่ลงไป ไข่หรือมัน จะลอยได้ หรือถ้าจุ่มขนไก่ลงไป น้ำด่างจะเกาะติดแต่ไม่กัดขนไก่ให้หลุด ถ้าน้ำด่างอ่อนไป ควรเทกลับคืนถังอีกครั้ง หรือเคี่ยวให้ข้นด้วยการต้ม
- ส่วนการทำสบู่ในขั้นต่อไปนั้นดำเนินการเช่นเดียวกันกับ วิธีแรก
ข้อควรระวังในการใช้น้ำด่าง
น้ำด่างนี้เป็นพิษเพราะกัดผิวหนังและทำให้เกิดแผลร้ายแรงได้ ฉะนั้น ไม่ควรให้ถูกผิวหนัง ถ้าถูกต้องรีบล้างทันทีด้วยน้ำเปล่า แล้วล้างด้วย น้ำส้มอีกครั้งหนึ่ง
ถ้ากลืนน้ำด่างลงไป ให้รีบดื่มน้ำส้ม น้ำมะนาวหรือมะกรูดตามลงไป ให้มาก ๆ แล้วรีบไปพบแพทย์ ดังนั้นควรเก็บน้ำด่างให้พ้นมือเด็ก

หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจนะคับ
การทดสอบว่าสบู่จะดีหรือไม่
- สบู่ที่ดีควรจะแข็ง สีขาว สะอาด กลิ่นดีและไม่มีรส สามารถขูด เนื้อสบู่ออกเป็นแผ่นโค้ง ๆ ได้
- ไม่มันหรือลื่นจนเกินไป เมื่อใช้ลิ้นแตะดูไม่หยาบหรือสาก
การปรับปรุงสบู่ให้ดีขึ้น
ถ้าสบู่ที่ผ่านขั้นตอนตามเวลาที่ทำทุกช่วงแล้ว แต่ยังมีส่วนผสมบาง ส่วนไม่แข็งตัวหรือแยกกันอยู่ หรือไม่ดีเพราะสาเหตุใดก็ตาม อาจแก้ไขให้ดี ขึ้นดังนี้
- ตัดสบู่ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในหม้อที่มีน้ำบรรจุอยู่ 2.8 ลิตร พร้อมทั้งเทส่วนที่เป็นของเหลวที่เหลืออยู่ในแบบพิมพ์ลงไปด้วย
- นำไปต้มนานประมาณ10 นาที อาจเติมน้ำมะนาวหรือน้ำมัน อื่น ๆ ที่มีกลิ่นหอมลงไปในส่วนผสมประมาณ 2 ช้อนชา (ถ้ายังไม่ได้เติม)ต่อจากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในแบบพิมพ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ปล่อยไว้ 2 อัน แล้วดำเนินการตามที่กล่าวมาแล้ว
การทำสบู่จากน้ำด่างที่ได้จากขี้เถ้า
เริ่มต้นด้วยการทำน้ำด่างขึ้นเองจากขี้เถ้า
อุปกรณ์
1. เครื่องมือสำหรับการชะล้างน้ำด่าง ประกอบด้วยก้อนหิน ขนาดย่อม ๆ หลายก้อน
- แผ่นหินราบมีร่องน้ำให้ไหลได้
- ถังไม้ขนาดจุ 19 ลิตร มีรูเล็ก ๆ หลายรูติดอยู่ก้นถัง
- ภาชนะรองน้ำด่าง ไม่ควรใช้ภาชนะที่ทำด้วยอะลูมิเนียม เพราะน้ำด่างจะกัด
- กิ่งไม้เล็ก ๆ และฟาง
- ขี้เถ้า 19 ลิตร ซึ่งได้จากการเผาไหม้ทุกชนิด ขี้เถ้าจาก ไม้เนื้อแข็งจะใช้ทำน้ำด่างได้ดีที่สุด สำหรับชนบทแถบ ชายทะเล ขี้เถ้าจากการเผาสาหร่ายทะเลใช้ได้ดีมาก เพราะมีธาตุโซเดียมทำให้สบู่แข็งตัวได้ดี
- น้ำอ่อนปริมาณ 7.6 ลิตร
2. วิธีการชะล้างขี้เถ้าทำน้ำด่าง
- ตั้งอุปกรณ์ดังแสดงในรูป โดยที่ก้นของถังทำเป็นที่กรอง ขี้เถ้า ใช้กิ่งไม้ไข้วกัน 2 กิ่ง เรียงเป็นแถว แล้วเอาฟางวางลงบนกิ่ง
- ใส่ขี้เถ้าลงในถัง แล้วเทน้ำอุ่นลงในถังเพื่อให้ขี้เถ้าเปียก และเหนียว เกลี่ยให้เกิดหลุมตรงกลาง แล้วค่อย ๆ เทน้ำส่วนที่เหลือลงใน หลุมนั้น ปล่อยให้น้ำซึมแล้วเติมน้ำอีก น้ำด่างสีน้ำตาลจะไหลลงสู่ส่วนล่าง ของถัง นานประมาณ 1 ชม. น้ำด่างที่ได้จะมีปริมาณ 1.8 ลิตร ถ้าน้ำด่างที่ มีความเข้มข้นดีแล้ว ทดสอบได้โดยเอาไข่ไก่หรือมันฝรั่งใส่ลงไป ไข่หรือมัน จะลอยได้ หรือถ้าจุ่มขนไก่ลงไป น้ำด่างจะเกาะติดแต่ไม่กัดขนไก่ให้หลุด ถ้าน้ำด่างอ่อนไป ควรเทกลับคืนถังอีกครั้ง หรือเคี่ยวให้ข้นด้วยการต้ม
- ส่วนการทำสบู่ในขั้นต่อไปนั้นดำเนินการเช่นเดียวกันกับ วิธีแรก
ข้อควรระวังในการใช้น้ำด่าง
น้ำด่างนี้เป็นพิษเพราะกัดผิวหนังและทำให้เกิดแผลร้ายแรงได้ ฉะนั้น ไม่ควรให้ถูกผิวหนัง ถ้าถูกต้องรีบล้างทันทีด้วยน้ำเปล่า แล้วล้างด้วย น้ำส้มอีกครั้งหนึ่ง
ถ้ากลืนน้ำด่างลงไป ให้รีบดื่มน้ำส้ม น้ำมะนาวหรือมะกรูดตามลงไป ให้มาก ๆ แล้วรีบไปพบแพทย์ ดังนั้นควรเก็บน้ำด่างให้พ้นมือเด็ก


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=603522#ixzz1FjTTyfr2

การทำกระทง

การทำกระทง


ใกล้จะถึงวันลอยกระทงแล้วนะคะ วันที่ 12 เดือนนี้ก็จะเป็นวันลอยกระทงแล้ว
เรามาทำกระทงกันดีกว่า เผื่อว่าใครจะสนใจทำกระทงลอยเองในปีนี้
แถมประหยัดงบประมาณ การซื้อของด้วยค่ะ คิดว่าหลายๆ คนน่าจะทำกันได้นะคะ



เริ่มจากวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการทำกระทงค่ะ
1. ใบตองตานี 2 กิโลกรัม (สำหรับขนาดตามแบบ)
ที่นิยมใช้ใบตองตานี ก็เพราะมีความเหนียว สีเขียวสวย สีสม่ำเสมอ ทนทาน



2. กล้วยไม้ 1 กำ ใหญ่
ที่ใช้กล้วยไม้เพราะกลีบทน เหี่ยวแห้งยาก
แต่ถ้าใครจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็ได้
เช่น กุหลาบมอญ หรือ ใบกระบือ ก็ได้



3. ดอกพุดนิดหน่อย



4. โฟม 1 อัน ตามแบบ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 นิ้ว หนา 3 นิ้ว



5. ธูป และเทียน แบบตามชอบ



มาเตรียม อุปกรณ์ ในการทำกระทงกันต่อไป
1. กรรไกร สำหรับ ตัดใบตอง หรืออื่นๆ
2. คัตเตอร์ ใช้สำหรับตัดโฟม
3. เข็มมือเบอร์ 7 ใช้สำหรับเย็บใบตอง
4. ด้ายเบอร์ 60 ใช้กับเข็มมือ
สีเขียวใบตอง ใช้สำหรับเย็บใบตอง
สีอื่นๆ ตามแต่ชนิดของดอกไม้ที่ใช้
5. ตะปูเข็มหมุด ใช้สำหรับยึดกลีบใบตอง ขนาดยาว ประมาณ 1 นิ้ว
ต้องใช้หัวโต ถ้าหัวเล็กมากจะยึดใบตองไม่อยู่
ใช้ 1 – 2 ห่อ ขึ้นอยู่กับขนาด ของกระทง
(หาซื้อตะปูเข็มหมุดหัวโตไม่ได้ค่ะ เลยใช้ ตะปูตัวเล็กแทน)
6. ฟลอร่าเทป ใช้สำหรับพันก้านดอกไม้ พันก้านไม้
7. ไม้เสียบลูกชิ้น ใช้สำหรับยึดเทียน เพื่อให้ปักลงกระทงได้ง่าย
ใช้ 1 อัน (ซื้อผลไม้รถเข็น ก็จะได้ ไม้จิ้มผลไม้มา 1 อัน)
8. ผ้าสะอาด ใช้สำหรับเช็ดใบตอง



เตรียมวัตถุดิบ ก่อนทำกระทง
เริ่มจาก เตรียมใบตองก่อนเลยค่ะ
1. เช็ดทำความสะอาดใบตองด้วยผ้าแห้ง ไปตามขวาง
2. ผึ่งใบตองให้นิ่ม เพราะว่าถ้าใบตองสดเกินไป
เวลาพับกลีบต่างๆ ใบตองจะแตก
ถ้าพับกลีบแล้วยังมีรอยแตกแสดงว่าใบตองยังไม่นิ่มพอ



3. ตัดส่วนหัวของใบตองออก




หรือ จะใช้วิธีดึง ย้อนตามแนวเส้นใบตองก็ได้
ถ้าดึงตามแนวใบตอง ใบตองจะขาด



4. ฉีกใบตอง จากตรงกลางใบ โดยการวัด จะได้ใบตองที่มีขนาดเท่ากัน

ฉีก ขนาด 2.5 นิ้ว สำหรับทำกลีบ ประดับรอบกระทง
ใช้ประมาณ 250 อัน จำนวน ใบตองที่ฉีก จะขึ้นอยู่กับขนาดเส้นผ่าฐานที่ใช้
และจำนวนชั้นที่จะประดับด้วย (ตามแบบใช้ 5 ชั้น)
ฉีก ขนาด 2.0 นิ้ว สำหรับทำกลีบขอบกระทง ใช้ประมาณ 68 อัน
จำนวนที่ใช้จะขึ้นอยู่กับการเย็บด้วยว่า จะเย็บ ถี่ หรือ ห่างแค่ไหน
ฉีก ขนาด 2.0 นิ้ว สำหรับ ตกแต่งด้านใน ใช้ประมาณ 38-40 อัน
ใบตองช่วงกลางใบจะกว้าง ควรจะฉีกเอาไว้สำหรับทำกลีบ ขอบกระทง



5. ตัดปลายใบตองเพื่อความสวยงาม แต่ถ้าต้องการความเร็ว ไม่ต้องตัดก็ได้
เพราะสุดท้ายก็ต้องมาตัดอีกครั้งอยู่ดี



ตอนนี้ก็เตรียมใบตองเสร็จแล้วเรียบร้อย ก็จะเป็นการเตรียมกล้วยไม้
เด็ดกลีบกล้วยไม้ พักใส่ถุงไว้ เราจะใช้ส่วนของ กลีบดอก กับ ปากของดอก



จากนั้นเตรียม ฐานกระทง เกลาโฟม ให้โค้งนูน เป็นลักษณะหลังเต่า
หลังจากนั้นเก็บไว้ก่อน ยังไม่ต้องทำอะไร



เรามาเริ่มทำตัวกระทงกันเลย เริ่มจาก ทำกลีบสำหรับขอบกระทง
เราจะใช้กลีบคอม้า เย็บติดกันเป็นเส้นยาว เพื่อเอาไปพันติดรอบฐานกระทง

วิธีพับกลีบคอม้า
1. ใช้ใบตองที่ฉีกเตรียมไว้ ขนาด 2 นิ้ว
จับใบตองให้ด้านนวลอยู่บน ส่วนหัวของใบอยู่ด้านขวา



2. พับใบตองด้านซ้ายลงมา ให้ริมใบตอง ตั้งฉาก
ในรูปใบตองดูสั้น จริงๆ ยาวนะคะ ต้องยาวค่ะ ไม่อย่างนั้นจะใช้เย็บกลีบคอม้าไม่ได้




3. พับใบตองด้านขวาลงมาประกบ ให้ริมใบตองชิดกันพอดี



4. จับพับทบ เข้าหากัน



5. จับใบตองตามแนวนอน ให้ปลายแหลมหันไปทางซ้าย



6. พับริมใบตองด้านขวา ลงมาตั้งฉากชิดกับขอบพอดี



7. พับทบไปทางด้านซ้าย อีกครั้ง
ในรูป ปลายใบตองด้านขวาสั้น จริงๆ จะยาวนะคะ
ต้องตัดต่อเพราะจะเกินหน้าจอคอมฯ



8. ทำด้านหลัง แบบเดียวกัน



9. ทำกลีบเพิ่ม โดยวิธีเดียวกัน นำมาสอดทับเข้าตรงกลางทางด้านซ้ายมือ



10. จับแนวของสันทบให้ตรงและขนานกัน แล้วเย็บตรึง
ใช้ด้ายสีเดียวกับใบตอง ถ้าจะให้แน่น ควรเย็บแบบด้นถอยหลัง และแทงเข็มขึ้น



11. แทงเข็มลงไปทางด้านขวา ให้แนวด้ายเฉียงลงมา เพื่อให้เส้นด้ายขวางกับแนวเส้นของใบตอง



12. เย็บต่อไปเรื่อยๆ โดยให้ระยะห่างของแต่ละกลีบเท่าๆ กัน
ระยะห่างของแต่ละกลีบ ควรจะห่างกันตั้งแต่ 0.5 ซม.-1 ซม.
ถ้าชิดกันกว่านี้ จะมีผลตอนประกอบเข้าเป็นตัวกระทง
ซึ่งจะอธิบายในขั้นตอนนั้น แต่ถ้าเย็บห่างเกินไป จะดูไม่สวยงาม



13. เย็บให้ได้ความยาวเท่ากับเส้นรอบวง ของฐานกระทง



14. ตัดปลายใบตองให้เรียบร้อย ให้ความกว้างเท่ากันตลอดทั้งเส้น
พักเก็บไว้ไม่ให้โดนลม เพื่อป้องกันใบตองแห้งเกินไป
อาจจะเอาไปราด หรือจุ่มน้ำ 1 ครั้ง แล้วหาผ้าบางๆ ชุบน้ำปิดไว้
หรือถ้ามีถุงพลาสติคแบบถุงเย็น ก็เอาไปใส่เก็บไว้ก็ได้



ต่อจากนี้ เรามา เริ่มตกแต่ง ด้านในกระทงกันค่ะ
นำฐานกระทงที่เกลาเป็นหลังเต่าเรียบร้อย มาติดตกแต่งด้วยใบตอง
1. หาจุดกึ่งกลางของฐานกระทง
2. ใช้ ใบตองที่ฉีกเตรียมไว้ ขนาด 2 นิ้ว
ใช้กรรไกรตัดด้านที่จะติดตรงกลางฐาน ให้เฉียงเล็กน้อย ตามรูป
3. ใช้ตะปูเข็มหมุด ยึดให้แน่น



4. ติดต่อไปเรื่อย โดยให้แนวทบของใบตองอันต่อไป เกยทับกับขอบใบตองอันก่อนหน้า เล็กน้อย



5. ตัดชายใบตองส่วนเกินออกด้วย



6. ติดไปเรื่อยๆ สู้ต่อไป



7. ใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ



8. เมื่อเสร็จแล้วหน้าตาจะออกมาแบบนี้ค่ะ



จากนั้นเรามาแต่งตรงกลางของกระทงกัน
1. เริ่มจาก นำส่วนของปากดอกกล้วยไม้ มาพับตามรูป ... พับขวา



2. พับซ้าย



3. ตัด ตรงงอๆ ของโคนออก



4. นำมาติดให้เป็นลายประจำยาม ยึดติดด้วยตะปูข็มหมุด ขั้นตอนตามรูป



5. เสร็จแล้วก็จะมีหน้าตาแบบนี้
ถ้าใครมี ความคิดแต่งให้อลังการ กว่านี้ ก็ได้เลยค่ะ จะใช้ดอกพุดถักตาข่าย ก็สวยงามมิใช่น้อย



ตรงกลางที่ว่าง เราจะมาแต่งให้ดูดีขึ้นอีกนิด จะใช้กลีบบัวแต่งค่ะ

มาเริ่มพับกลีบบัว กันเลยค่ะ
1. ใช้ ใบตองที่ฉีกเตรียมไว้ ขนาด 2 นิ้ว ยาวประมาณ 4 นิ้ว
หันด้านนวล ขึ้นข้างบน วางกลีบกล้วยไม้ไว้ตรงกลาง



2. พับใบตองด้านขวาลงมา 2 ครั้ง ให้ได้แนวตั้งฉาก



3. พับด้านซ้ายเหมือนกับด้านขวา



4. ให้สันทบของทั้ง 2 ข้างชิดกันพอดี



5. จับกระพุ้ง ให้มีลักษณะเหมือนกลีบบัวหรือนมสาว จะเห็นกลีบกล้วยไม้ อยู่ด้านใน



6. ใช้กรรไกร ตัดปลายส่วนเกินให้เรียบร้อย



7. นำกลีบบัวไปติดให้รอบๆ ช่องว่างตรงกลางกระทง



8. ตัดใบตอง เป็นวงกลม นำไปปิดไว้ตรงกลางกลีบบัว



ตอนนี้เราเย็บขอบกระทงเสร็จแล้ว ทำส่วนของตรงกลางกระทงเสร็จแล้ว

มาเริ่มประกอบเป็นกระทงกันเลยค่ะ
1. นำกลีบคอม้าที่เย็บเสร็จแล้ว ลองนำมาวัดรอบกระทง เพื่อดูว่าจะพอดีหรือเปล่า



2. วัดได้พอดีแล้ว ก็เย็บตรึงให้แน่น



3. สวมเส้นกลีบคอม้าลงไปกับฐานกระทง จัดแต่งให้เรียบร้อย ยึดด้วยตะปูเข็มหมุด
ขอบของกลีบคอม้าควรจะสูงกว่าส่วนบนของฐานเล็กน้อย
ไม่ควรสูงเกิน 1 นิ้ว ขอบจะบังส่วนที่เราตกแต่งเสียหมด



4. ขอบกระทงจะดูบานๆ นะคะ ใช้มือตะล่อม เข้าไปให้หุบลง
ถึงตรงนี้ ตอนเย็บกลีบ ถ้าใครเย็บถี่มากเกินไป จะตะล่อมไม่ลงค่ะ
กระทงก็จะมีปากบานๆ ดูไม่สวยงาม



5. เสร็จแล้วก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ



จากนี้ เราจะมาเริ่มทำกลีบ ประดับรอบๆ กระทงกันนะคะ
เราจะใช้กลีบเล็บมือนางซ้อนกันค่ะ ดูตามขั้นตอนเลยค่ะ

1. ใช้ ใบตองที่ฉีกเตรียมไว้ ขนาด 2.5 นิ้ว ยาวประมาณ 4 นิ้ว
พับทบครึ่งใบตองตามขวาง ลงมาด้านนวลอยู่ด้านใน



2. จับริมใบตองเข้าด้านในกึ่งกลางของกลีบ



3. ทำอีกด้านแบบเดียวกัน



4. วางกลีบกล้วยไม้ตรงกลาง



5. พับใบตองมาด้านซ้าย ใช้กรรไกรตัดส่วนที่เกินจากกึ่งกลางออก



6. พับใบตองมาทางด้านขวา ให้ทับซ้อนกัน เหลือช่องว่างส่วนปลายเล็กน้อย



7. พับริมใบตองด้านซ้าย ซ้อนทับให้สันทบ ขนานกับสันทบด้านบน



8. พับใบตองด้านขวาที่เหลือซ้อนทับ ให้สันทบ ขนานกับสันทบด้านบน
แล้วระยะห่าง เท่ากันทั้ง 2 ซ้าย-ขวา



9. ใช้กรรไกรตัดปลายส่วนเกินออก ถ้าช่วยกันทำหลายคน
หรือกลัวว่ารอยพับจะแยกออก อาจจะเย็บตรึงด้วยด้ายเป็นรูปกากบาท ดังรูป
การพับกลีบเล็บมือนางซ้อนจะพับเป็นสามเหลี่ยม จะไม่พับซ้าย-ขวา ตรงๆ



เมื่อทำกลีบเล็บมือนางซ้อนเรียบร้อยแล้ว เราจะนำกลีบไปติดรอบๆ กระทงกันเลยค่ะ

1. ติดแถวที่ 1 ให้รอบกระทง ยึดติดด้วยตะปูเข็มหมุด
โดยให้ส่วนปลายของกลีบอยู่ต่ำกว่าขอบปากกระทงไม่เกิน 1 นิ้ว



2. ติดกลีบแถวที่ 2 โดยรอบกระทง ยึดติดด้วยตะปูเข็มหมุด
โดยให้กลีบแถวที่ 2 นั้น อยู่ระหว่างกลีบของแถว ที่ 1



3. ติดกลีบแถวที่ 3 โดยรอบกระทง ยึดติดด้วยตะปูเข็มหมุด
โดยให้กลีบแถวที่ 3 นี้ อยู่ระหว่างกลีบแถวที่ 2 และให้ตรงกับกลีบของแถวที่ 1



4. ติดกลีบแถวที่ 4 โดยรอบกระทง ยึดติดด้วยตะปูเข็มหมุด
โดยให้กลีบชั้นแถวที่ 4 นี้ อยู่ระหว่างกลีบแถวที่ 3
และให้ตรงกับกลีบ แถวที่ 2



5. ติดกลีบแถวที่ 5 ชั้นสุดท้าย โดยรอบ ยึดติดด้วยตะปูเข็มหมุด
ในแถวนี้ ให้หงายกลีบขึ้น แล้วติดกลีบให้อยู่ระหว่างกลีบ แถวที่ 4
และให้กลีบ ตรงกับกลีบแถวที่ 1 และ 3 เป็นอันเสร็จสมอารมณ์หมาย
. . . แต่เท่านั้นยังไม่พอ ... ยังไม่มี ธูปและเทียน . . .



มาตกแต่งธูปและเทียนเล็กน้อย
1. สำหรับเทียนที่มีขนาดใหญ่ เราจะเซาะร่องสำหรับเอาไม้เสียบลูกชิ้น วางลงไป
2. นำดอกพุดมามัดติด เข้ากับเทียน ประมาณ 4-5 แถว
แต่ละแถววางดอกระหว่างแถว เหมือนการติดกลีบเล็บมือนางซ้อน
3. พันฟลอร่าเทป ปิดด้าย และยาวลงมาจนถึงไม้ ตัดปลายไม้ให้แหลม

ในส่วนของธูปก็ทำแบบเดียวกัน แต่ไม่ต้องใช้ไม้เสียบลูกชิ้น
เพราะก้านของธูปเป็นไม้อยู่แล้ว มัดรวมธูปเข้าด้วยกัน แล้วตกแต่งด้วยดอกไม้

ถ้าใครใช้ดอกดาวเรือง ตัดก้านดอกออกให้เหลือแต่ส่วนของโคนดอกกับดอก
แล้วก็เสียบไม้ลงไปตรงดอกจากด้านบน แล้วพันปิดทับด้วยฟลอร่าเทป
(ส่วนของธูปถ้าก้านธูปใหญ่ มัดธูปเข้าด้วยกันแล้ว ตัดก้านออก 1-2 อัน
เพื่อให้สามารถแทงก้านธูปลงไปได้)

การทำนํ้าปลา

การทำน้ำปลา

ทุกท่านคงทราบถึงความสัมพันธ์ของน้ำปลากับชีวิตของคนไทยโดยทั่วไปแล้วจะแยกกันไม่ออกแทบทุกครัวเรือน แล้วแต่ฐานะความเป็นอยู่ คือ ฐานะดีก็ซื้อน้ำปลาดีบริโภค คนมีรายได้น้อยก็ซื้อน้ำปลาผสมหรือน้ำปลาคุณภาพต่ำ และขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจในเรื่องของน้ำปลาด้วยว่าแต่ละชนิดมีส่วนประกอบอย่างไรบ้าง

เกษตรกรในพื้นที่โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน มีการประกอบอาชีพทั้งด้านการเกษตร
และประมงชายฝั่งเป็นส่วนใหญ่ ทำการประมง และทำการเกษตรตามฤดูกาล การทำประมงชายฝั่ง ส่วนใหญ่ได้ปลากระตักเป็นจำนวนมากในระหว่างช่วง เดือน ตุลาคม ถึงเดือน เมษายน ของทุกปี

ชนิดของปลาที่ใช้
ปลาที่ใช้ในการทำน้ำปลามีหลายชนิด ได้แก่ ปลาไส้ตัน (ปลากะตัก) ปลาหลังเขียว ปลาทู ปลาลัง ปลาแป้น
ปลาทรายแดง ปลาทรายขาว ปลาข้างเหลือง เป็นต้น สำหรับปลาไส้ตันหรือปลากระตักนั้น เป็นปลาสำหรับทำน้ำปลา
และเป็นปลาที่ใช้ในการทำน้ำปลาแท้ที่มีคุณภาพสูงสุด เพราะน้ำปลาไส้ตันที่ได้จะมีกลิ่นหอมรสดี สีค่อนข้างแดง
โดยปลาที่ใช้ต้องสด และต้องคัด ล้างสะอาด เพื่อให้ได้น้ำปลาที่มีคุณภาพ
เกษตรกรในพื้นที่โครงการที่ทำการประมงและมีวัตถุดิบที่หามาได้จากการประมง นำปลากระตักสดไปขาย
ก็ไม่ได้ราคา เมื่อนำมาตากแห้งก็มีปัญหา ฝนตกทำเสียหาย และขายปลาตากแห้งได้ราคาต่ำกว่า เกษตรกรจึงได้รวมตัวกันขอคำแนะนำจากหน่วยงานศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน และทางหน่วยงาน
ศูนย์ศึกษาฯ ได้ให้งานส่งเสริมการเกษตรรับหน้าที่ในการส่งเสริมและสนับสนุนในการแปรรูปน้ำปลา
จากนั้น จึงเกิดการรวมตัวกันจัดตั้งเป็นกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร ครั้งแรกจำนวน 1กลุ่ม มีการประชุม
ระดมความคิดเพื่อจะทำกิจกรรม โดยทางราชการส่งเสริมและให้คำแนะนำโดยมีความเห็นของส่วนรวม
ว่าสมควรทำน้ำปลา เพราะจะใช้ประโยชน์ได้มากกว่า
โดยกลุ่มแรก ได้ทำการทดลองหมักน้ำปลาโดยใช้โอ่งมังกรหรือโอ่งดินเผาเคลือบ แล้วจึงพัฒนา
มาเป็นถังซีเมนต์ ก่อฉาบได้ทดลองมาตลอดระยะเวลา 5 ปีเต็ม จึงได้พัฒนามาเป็นการสร้างถังคอนกรีตหล่อ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เมตร สูง 180 เมตร จนถึงปัจจุบัน
พื้นที่โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลคลองขุด ได้จัดตั้งกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร จำนวน 8 กลุ่ม ที่ผลิตน้ำปลา ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะสามารถหมักน้ำปลา
เพื่อผลิตน้ำปลาได้ถึง 27,000 กิโลกรัม แต่ยังไม่เพียงพอแก่ความต้องการของผู้บริโภค

ขั้นตอนการผลิต
การสร้างถังหมักน้ำปลา ขนาดความสูง1.8 เมตร
เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เมตร(ความลึกด้านในถังหมัก
1.20 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เมตร)
ความจุประมาณ 2,800-3,000 กิโลกรัม
การหล่อคอนกรีตเสริมด้วยโครงสร้างไม้ไผ่แทน
โครงสร้างเหล็กเพื่อป้องกันการเป็นสนิมและการแตกร้าว
ถังที่สร้างเสร็จ ให้ทำความสะอาด แล้วจึงทำการแช่น้ำจืด
เพื่อให้ถังปูนคลายความเค็มออกมาในขั้นตอนนี้จะ
ใช้เวลา 1 -2 เดือน จนกระทั่งปูนจืดจึงทำการล้างถัง
ให้สะอาดแล้วตากถังให้แห้งก่อนการบรรจุปลา


เตรียมวัสดุอุปกรณ์


1. วัสดุใช้กรอง มีดังนี้
- ถ่านล้างสะอาด
- หินแกร่ง
- ทรายหยาบ
- ผ้าขาวบาง
2. หลังคากระเบื้องโปร่งใส
3. ถุงผ้าบรรจุวัสดุกรอง จำนวน 3 ถุง ขนาดกว้าง 50 เซนติเมตร ยาว 50 เซนติเมตร เป็นผ้าขาวบางซ้อน 2 ชั้น
4. ตาข่ายพลาสติกปิดปากถัง กันผง กันแมลงต่างๆ จำนวน 1 ผืน กว้าง 2.50 เมตร ยาว 2.50 เมตร
5. พลาสติกใสชนิดหนา เตรียมเพื่อสำรองป้องกันฝนสาด หรือใช้ปิดปากถังเมื่อมีฝุ่นละอองมาก

การเตรียม



1. เกลือในการผสมกับปลาที่เอามาทำการหมักปลา ในอัตราส่วน ปลา 2 ส่วน เกลือ 1 ส่วน หรือ
ปลา 3 ส่วน เกลือ 1 ส่วน
2. ปลาไส้ตันหรือปลากระตัก จำนวนประมาณ 2,500 กิโลกรัม ต่อการหมัก 1 ถัง

กรรมวิธีการผลิต



นำปลากระตักมาคัดเลือกเอาปลาชนิดอื่นๆ ที่ปนออกมาให้หมด และทำความสะอาด แล้วนำมาคลุก
กับเกลือสมุทรให้ทั่วในอัตราส่วน 2 : 1 ปลา 2 ส่วน เกลือ 1 ส่วน หรือ ปลา 3 ส่วน เกลือ 1 ส่วน
แล้วนำไปใส่ถังหมักซีเมนต์ ภายในใส่เกลือรองก้นถัง เมื่อใส่ปลาครบจำนวนแล้วให้ใช้ตาข่ายพลาสติก
ปิดปากถัง 1 ผืน เพื่อป้องกันผงและแมลงนำหลังคาโปร่งแสงมาคลุมถังหมักแล้วยึดด้วยเชือกให้แน่น
เพื่อป้องกันลม ป้องกันฝนลงในถังหมัก

น้ำปลาจะเสียหายได้เมื่อ



1. น้ำฝนลงถัง ทำให้ความเข้มข้นของเกลือน้อยลง จะทำให้ปลาเน่า จะได้น้ำปลาที่มีกลิ่นไม่ดี
2. ถังรั่ว เนื่องจากการสร้างถัง จะต้องหล่อคอนกรีตอย่างดี

ผลผลิตที่ได้ต่อหน่วยการลงทุน
วัตถุดิบ
ปลา 1 ตัน เป็นเงิน 7,000.- บาท
เกลือ 500 กิโลกรัม เป็นเงิน 1,500.- บาท
หมัก 1 ปี
จะได้ปริมาณการผลิตต่อครั้ง ประมาณ 900-950 ขวด ( ขนาดบรรจุขนาดปริมาณ 750 ลูกบาศก์เซนติเมตร)
ผลผลิตที่ได้โดยประมาณ
ราคาต่อหน่วย ( ขวดละ) 23-25 บาท จำนวน 20,700 – 23,750 บาท

หมายเหตุ

ค่าใช้จ่ายองค์ประกอบต่างๆ เช่น บ่อหมัก บรรจุภัณฑ์ และอุปกรณ์ต่างๆ ยังไม่ได้บวกรวมในต้นทุนการผลิตนี้
การมุงหลังคาด้วยกระเบื้องโปร่งแสง เพื่อต้องการแสงแดดช่วยเร่งให้เกิดการสลายตัวของโปรตีนในปลาเป็น
กรดอะมิโนเร็วขึ้น เมื่อหมักจนได้ที่แล้วไขน้ำออกมา แต่น้ำปลาจะไม่ใสต้องกรองด้วยถุงกรอง 3 ชั้น ที่ประกอบไปด้วย
หิน ถ่าน ทรายหยาบทำการกรองจะได้น้ำปลาใสแล้วนำลงบรรจุขวด กลิ่นน้ำปลาจะหอมน่ารับประทาน
สามารถเก็บไว้บริโภคได้เป็นเวลานาน

น้ำปลาในปัจจุบัน
มีจำหน่ายอยู่ 2 ชนิด คือ
1. หัวน้ำปลา หรือน้ำปลาน้ำหนึ่ง
เป็นน้ำปลาที่เปิดจากถังครั้งแรกจะไม่มี
จำหน่ายโดยทั่วไป จะมีส่วนประกอบ
ดังนี้
1.1 ปลา 65%
1.2 เกลือ 35 %
1.3 ไม่มีวัตถุกันเสีย
1.4ไม่ปรุงแต่งกลิ่นรสและสี

2. น้ำปลาน้ำสอง เป็นน้ำปลาที่ผลิตต่อจากหัวน้ำปลา
หรือน้ำปลาน้ำหนึ่ง โดยมีส่วนประกอบ
ดังนี้
2.1 ปลา 60%
2.2 เกลือ 37 %
2.3 ไม่มีวัตถุกันเสีย
2.4ไม่ปรุงแต่งกลิ่นรสและสี คุณภาพรองจากหัวน้ำปลา



ผลการตรวจวิเคราะห์น้ำปลาน้ำหนึ่ง
1. เป็นของเหลวใส สีน้ำตาล ไม่มีตะกอน
2. ขวดแก้วกลมใส ปิดสนิทด้วยฝาพลาสติก
3. ไม่พบวัตถุกันเสีย
4. ไม่มีวัตถุให้ความหวาน
5. ไม่มีสีสังเคราะห์
6. เกลือโซเดียม ไม่น้อยกว่า 223.19 กรัม/ ลิตร
7. ปริมาณไนโตรเจนทั้งหมด ไม่น้อยกว่า
26.31 กรัม/ ลิตร
8. กรดกลูตามิคต่อไนโตรเจนทั้งหมด 0.5
9. ร้อยละของไนโตรเจนจากกรดอมิโน

การทำธูปหอม

ในปัจจุบันนี้คนไทยเสียชีวิตเพราะโรคไข้เลือดออกเป็นจำนวนมากและโรคไข้ เลือดออกจะระบาดในฤดูฝน และมียุงเป็นพาหนะนำโรคไข้เลือดออกมาสู่เรา การทำธูปไล่ยุงจากสมุนไพร โดยใช้ประโยชน์จากสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการไล่ยุงซึ่งนำสมุนไพรเหล่านั้น มาทำเป็นส่วนผสมหลักของธูปหอม เนื่องจากสมุนไพรเหล่านั้นมีกลิ่นแรงซึ่งยุงจะไม่ชอบ เช่น ตะไคร้หอม เปลือกส้ม ผิวมะกรูด เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการไล่ยุงแล้วยังส่งผลดีกับเราเพราะธูปยังส่งกลิ่นหอม สมุนไพรชนิดต่าง ๆ อีกด้วย
การทำธูปหอมเป็นของใชการทำธูปหอมเป็นของใช้ที่รูปร่างสวยงาม น่าใช้รูปแบบธรรมชาติ เช่นใบไม้ ดอกไม้
วัตถุดิบและส่วนประกอ
- ผงจันทน์ขาว
- ผงโก้แดง
- สีผสมอาหาร
- น้ำมันหอมและน้ำหอมกลิ่นต่าง ๆ
- น้ำสะอา ตะไคร้หอม เปลือกส้ม ผิวมะกรูด
ขั้นตอนการผลิต
1. นำส่วนผสม คือ ผงจันทน์ขาว 8ส่วนผสมโกโก้แดง1ส่วน ค่อยเติมน้ำลงไปคลุกเคล้าให้ทั่วจนเหนียวนุ่มคล้ายดินเหนียวเติมสี นวดให้เข้ากัน
2. กดใส่พิมพ์ และนำไปตากแดดให้แห้ง ประมาณ 7วัน นำมาอบกลิ่น 48 ชั่วโมง และบรรจุจำหน่าย

การทำวุ้นกระทิ

ส่วนผสมตัววุ้น
วุ้นผง ( ตราจรวดหรือโทรศัพท์ ) 2 ชต. บวก 1 ชช.
น้ำเปล่า 6 ถ้วยตวง
น้ำตาลทรายขาว 1 1 / 2 ถ้วยตวง
เนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ 2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
ตวงผงวุ้นและน้ำเปล่า ใส่กะทะทองยกตั้งไฟกลางเคี่ยวจนวุ้นละลายหมด ใส่น้ำตาลทราย
ต้มต่อจนน้ำตาลละลาย แล้วหยอดใส่พิมพ์ที่ใส่มะพร้าวอ่อนไว้ประมาณ 1 / 2 ของพิมพ์

ส่วนผสมหน้า
วุ้นผง ( ตราจรวดหรือโทรศัพท์ ) 2 ชต. บวก 1 ชช.
น้ำมะพร้าวอ่อน 3 ถ้วยตวง
น้ำตาลทรายขาว 3 / 4 ถ้วยตวง
หัวกะทิ 3 ถ้วยตวง
แป้งข้าวโพด 2 ชต.
เกลือป่น 2 ชช.
วิธีทำ
1. ตวงผงวุ้นและน้ำมะพร้าวอ่อนใส่หม้อยกตั้งไฟกลางเคี่ยวจนวุ้นละลาย
จึงใส่น้ำตาลต้มต่อไปให้น้ำตาลละลาย
2. นำหัวกะทิ 1 / 2 ถ้วยตวงนวดกับแป้งข้าวโพด และเกลือป่นให้แป้งละลายเทใส่หม้อ
วุ้นในข้อที่ 1 ตวงหัวกะทิที่เหลืออีก 2/1/2ถ้วย ลงไปคนให้เข้ากันลงไปคนให้เข้ากันกวนให้สุกโดยให้ใช้พายกวนอยู่เสมอ
3. ตักส่วนผสมตัววุ้นใส่พิมพ์ประมาณ 1 / 2 ของพิมพ์ทิ้งไว้พอหน้าตึง ๆ จึงตักส่วนผสม
หน้าหยอดเบา ๆ ให้เต็มพิมพ์

การทำเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม

ส่วนผสมตัวเค้กส่วนที่ 1
- แป้งเค้ก 80 กรัม
- ผงฟู 1/4 ช้อนชา
- เบคกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา
- กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
- เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
- ผงโกโก้ 25 กรัม
- น้ำตาลทรายป่น 90 กรัม

ส่วนผสมตัวเค้กส่วนที่ 2
- น้ำ 50 กรัม
- นมข้นจืด 25 กรัม
- น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
- น้ำมันพืช 65 กรัม
- ไข่แดง 2 ฟอง

ส่วนผสมตัวเค้กส่วนที่ 3

- ไข่ขาว 2 ฟอง
- น้ำตาลทราย 45 กรัม
- ครีมออฟทาทาร์ 1/4 ช้อนชา

วิธีทำตัวเค้ก
นำส่วนผสม 1 ได้แก่ แป้งเค้ก น้ำตาลทรายป่น ผงโกโก้ โซดา ผงฟู ร่อนร่วมกัน 2 ครั้งคะ ถ้าใช้วนิลลาแบบผงก็ร่อนรวมกันไปเลย แต่ใช้แบบน้ำใส่ทีหลังคะ เกลือป่นใส่หลังจากร่อนของแห้งอื่น ๆ แล้วนะคะ เพราะมันค่อนข้างเม็ดใหญ่ แล้วเอาช้อนให้เข้ากัน ทำหลุมตรงกลางไว้ค่ะ

แล้วนำของเหลว (2) ที่ผสมกันไว้เทใส่ชามผสมของแห้ง (1) ค่ะ แล้ว เอาตะกร้อมือคนแบบน้ำเซาะตลิ่งให้เข้ากัน หรือจะคนแบบแรง ๆ เร็ว ๆ ก็ได้คะ พอเข้ากันแล้วหยุดเลย ถ้าคนมากเนื้อเค้กที่ได้เหนียวคะ แล้วพักไว้ก่อนคะ
มาถึงส่วนผสมที่ 3 บ้างค่ะ ไข่ขาวและครีมออฟทาร์ทาร์ใส่ชามผสม ตีด้วยความเร็วสูงจนเป็นฟอง ใส่น้ำตาลทรายป่นลงไปแล้วตีต่อด้วยความเร็วสูงค่ะ ใส่ทีละช้อนนะ ประมาณ 3 ครั้งค่ะ จนตั้งยอดอ่อนก่อนที่จะแข็ง แล้วหยุดค่ะ
นำส่วนของไข่ขาวไปผสมกับส่วนของไข่แดงที่เราผสมกันไว้เมื่อกี้ แบ่งผสม 2 ครั้งนะ ใช้ตะกร้อมือส่วนผสมจะเข้ากันง่ายกว่าไม้พายนะคะ ถ้าตีไข่ขาวตั้งยอดมากไป ผสมกว่าจะเข้ากันใช้เวลานานนะคะ ไม่ดี เนื้อเค้กก็จะหยาบแห้งด้วย ก็ผสมกันจนหมดนะคะ พอผสมเข้ากันดีแล้วเทใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้คะ เคาะก้นพิมพ์เบา ๆ ไล่ฟองอากาศออกไปค่ะ นำเข้าเตาอบได้เลยค่ะ
เค้กสุกนำออกมา กระแทกพิมพ์ให้โครงสร้างอยู่ตัว 1 ที รอเย็นนำออกจากพิมพ์ค่ะ คราวนี้มาทำหน้านิ่มกันค่ะ

ส่วนผสมหน้าเค้ก
ส่วนที่1
- ผงวุ้น 1 ช้อนชา
- น้ำ 300 กรัม
- นมข้นจืด 200 กรัม
- น้ำตาลทราย 200 กรัม
- โกโก้ 50 กรัม

ส่วนที่2
- แป้งข้าวโพด 40 กรัม
- นมข้นจืด 150 กรัม

ส่วนที่3
- เนยสด 150 กรัม

วิธีทำหน้านิ่ม

นำ น้ำ, น้ำตาลทราย, นมข้นจืดส่วนที่ 1 (200 กรัม), ผงโกโก้ และผงวุ้น ใส่หม้อรวมกันเลยค่ะ เอาตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันก่อนค่ะ

ส่วนของ แป้งข้าวโพดและนมข้นจืดส่วนที่ 2 รวมกันให้เข้ากัน

นำไปตั้งไฟอ่อนๆ แต่ก็ไม่อ่อนเสียสีเดียว มากกว่าอ่อนหน่อยค่ะ เอาตะกร้อมือคนตลอด ให้น้ำตาลทรายและผงวุ้นละลาคนไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมเดือดนะคะ

แล้วก็เทแป้งข้าวโพดที่ละลายรวมกับนมข้นจืดลงไป ก่อนเทเขย่าๆ อีกทีคะ ตอนนี้ต้องลดไฟลงอ่อนค่ะ ใช้ตะกร้อมือคนตลอด ส่วนผสมจะข้นขึ้น ห้ามหยุดมือค่ะ

ใส่เนยสดที่หั่นชิ้นเล็กลงไปคะ ถ้าใส่รัมใส่ตอนนี้เลยคะ คนให้เนยละลาย ปิดเตาเลยคะ
จากนั้นก็คนด้วยตะกร้อมือต่อให้หน้านิ่มอุ่น ห้ามหยุดคน มันจะ set ตัวเป็นลิ่มๆ หยอดแล้วไม่สวยคะ

เมื่อเค้กเย็นแล้วนำออกจากพิมพ์ slice เป็นกี่ชั้นตามต้องการนะคะ



แบ่งหน้านิ่มตักใส่ไปค่ะ เท่าไรก็ใส่ไป แต่ดูให้มันสมดุลแล้วกันค่ะ หน้านิ่มนี่ต้องคอยคนตลอดนะ ห้ามหยุด หยุดแล้วมันจะเป็นลิ่มๆ ค่ะ

แล้วก็จับเค้กเอียงๆ ให้หน้านิ่มไหล แล้วก็กระแทกๆ ให้หมดฟองอากาศ หรือใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มก็ได้ ทิ้งเวลาไว้ให้หน้านิ่มเซ็ทตัวนิดหน่อย เอานิ้วสัมผัสดูหน้ามันจะตึงๆ ค่ะ

พอหน้านิ่มด้านล่างตึงๆ แล้วเอาเค้กชั้นต่อมาวางลงไป แล้วก็ทำเหมือนเดิมเหมือนเมื่อกี้ คราวนี้ทิ้งเวลาไว้กว่าหน้านิ่มจะเซ็ทตัวทั้งหมด
เค้กชอคโกแลต, เค้กหน้านิ่ม

วิธีการเลือกสุนัข

วิธีเลือกดู


เคล็ดลับละเอียดในการเลือกลูกหมา ก่อนอื่นต้องเปิดหูเจ้าหมาน้อยเพื่อดูว่ามีขี้หูหรือกลิ่นเหม็นหรือเปล่า ถ้ามีขี้หูดำมากๆ อาจแสดงว่า หมามีตัวไรในหู ซึ่งอาจพบว่า ลูกหมาเกาหูอยู่บ่อยๆ และถ้ามีหนองจะมีกลิ่นเหม็นแสดงว่าเจ้าหมาน้อยเป็นหูน้ำหนวก

จากนั้นก็เปิดตาดู ถ้าลูกหมาแข็งแรงดวงตาจะสะอาด มีแววสดใส คึกคัก เยื่อบุตาไม่แดง ไม่อักเสบ พบบ่อยว่าลูกหมาที่ตาแฉะมากๆ ขี้ตาเกรอะกรังเต็มไปหมดส่วนใหญ่นั้นจะป่วย ดีไม่ดีอาจเป็นไข้หัดสุนัขได้

หรือสังเกตได้อีกอย่างคือถ้าลูกหมาใช้เท้าหน้าถูตาอยู่บ่อยๆ อาจเป็นเพราะมีการระคายเคียงของดวงตา

ต่อมาก็เปิดปาก ดูเหงือกซะหน่อยว่าสีซีดหรือไม่ ลูกหมาสุขภาพดี เหงือกจะมีสีชมพูเรื่อยๆ ฟันก็ควรจะสะอาดและดูดี ไม่เหยเก

สำหรับผิวหนังนั้นก็ต้องดูให้ดีเพราะลูกหมาที่นี่เลี้ยงจะต้องมีขนเป็นมันเงางาม ไม่มีตำหนิเป็นแผลหรือฝี ไม่มีรังแค แม้กระทั่งพวกสัตว์ประหลาด เช่น เห็บ เหา ไร หมัด เพราะเจ้าสัตว์พวกนี้อาจเป็นตัวนำโรคได้ โดยเฉพาะถ้ามีขนร่วงที่บริเวณขอบตาหรือบริเวณข้อศอกมักจะเป็นขี้เรื้อนในอนาคต

สุดท้ายเช็กก้นมันซะหน่อย เพียงแค่ยกหางขึ้นมาดูก็สามารถตรวจได้ ก้นลูกหมาที่สมบูรณ์ดีจะต้องสะอาดเกลี้ยงเกลาและแห้งสนิท จะต้องไม่มีคราบสกปรกใดๆทั้งสิ้น เพราะถ้ามีหมายถึงลูกสุนัขท้องเสีย ซึ่งอาจป่วยเป็นโรคลำไส้อักเสบจากเชื้อไวรัสได้ เราอาจจะสังเกตดูอากัปกิริยาของลูกหมาที่มีปัญหาที่เกี่ยวกับกันได้ อาทิเอากันไถพื้นอยู่เรื่อยๆ หรือเลียก้นอยู่ตลอดเวลา อาจแสดงถึง อาการระคายเคือง ซึ่งมีสาเหตุมาจากต่อมรอบก้นอักเสบได้

หลังจากซื้อได้แล้ว ต้องเลี้ยงมันดีๆ ให้ผูกพันเป็นเพื่อนกับเราเพราะพอมันโตขึ้น แม้ว่าจะน่ารักน้อยลงกว่าเมื่อตอนเป็นลูกหมา แต่เราจะรักมันเหมือนเดิม